อดิศักดิ์ ผู้พิพัฒน์หิรัญกุล

มาแล้วค่ะ อิป้าหามาเล่า การลงทุนในตลาดหุ้นไทยต่อจากนี้ไป 1-2 ปีข้างหน้าจะเป็นเช่นไร หลังจากต้องประสบวิกฤติโควิด-19 ทำให้ตลาดเกิดความผันผวนอย่างหนัก

โดย “อดิศักดิ์ ผู้พิพัฒน์หิรัญกุล” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ (FVP) Product Management Department บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) ได้ให้สัมภาษณ์กับอิป้าหามาเล่าว่า หลังจากโควิด-19 ภาพที่เราจะเห็นแน่ ๆ เลย เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นไทยเมื่อ 7 -8 ปีที่แล้ว เราเคยเทรดเฉลี่ยพีอีกันอยู่ประมาณสัก 15 เท่า วันนี้เราอาจจะไม่ได้เทรด 15 เท่า ซึ่งอาจจะสูงขึ้นไปอีก เพราะดอกเบี้ยมันต่ำ

เราลองไปดูดอกเบี้ย บอนด์ยิลด์หรือผลตอบแทนของพันธบัตร ของ Government Bond 10 ปี ถ้าเกิดย้อนกลับไปตอนช่วงปี 2007 – 2008 ก่อนที่จะมีวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ (ซับไพรม์) ซึ่งเราไปลงทุนในGovernment Bond 10 ปี เราได้อยู่ประมาณ 4.5% มาวันนี้ 1.4% เท่านั้นเอง พอดอกเบี้ยมันต่ำเงินจะต้องไหลไปดอกเบี้ยที่มันผลตอบแทนที่มันสูงกว่า มันก็เลยไหลเข้าสู่ตลาดหุ้น ซึ่งก็ไม่ได้เห็นแค่ในตลาดหุ้นไทยมันขึ้น แต่ตลาดหุ้นทั่วโลกก็ขึ้นมาด้วยภาคที่ของดอกเบี้ยมันต่ำ และรอบนี้ทุกคนก็มองเหมือนกันว่า มันจะต่ำยาวนาน

อย่างไรก็ตาม ในปีนี้คาดว่า บริษัทจดทะเบียนจะหดตัวลงมาประมาณ 25% จากปีที่แล้วคือหดตัวแบบเลวร้าย แต่หุ้นจริง ๆ ถ้ามองจากต้นปีมาถึงวันนี้กำไรกำไรหด 25% แต่หุ้นลงแค่ 15% และอีก 10% ทำไมมันไม่ลง 25% ส่วนหนึ่งคือทุกคนมองว่าปีหน้ามันต้องฟื้น

และ 2. ดอกเบี้ยที่มันต่ำ เพราะฉะนั้นจะเห็น Divergence มากขึ้น ระหว่างกำไร เศรษฐกิจ และก็ตลาดทุน ซึ่งตลาดทุนอาจจะขึ้นก็ได้เพราะทั้ง ๆ ที่เศรษฐกิจไม่ได้โตดีมาก หรือกำไรบริษัทจดทะเบียนไม่ได้โตดีมากยังจะมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นได้ อันนี้จะเป็นภาพใหญ่ ๆ ที่เราจะเห็นหลังโควิด-19 คือไดเวอร์เจ้นระหว่างเศรษฐกิจ กำไร และราคาหุ้น

หนังสืออิป้าหามาเล่าโดยหุ้นที่คิดว่าจะไปได้ต่อ และดีเราจะเห็นอยู่ใน 5 STORY

1.STORY แรก เลยคือ เรื่องดอกเบี้ยต่ำ ดอกเบี้ยมันจะต่ำนาน และพอดอกเบี้ยต่ำนาน แล้วใครจะได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยต่ำบ้าง จริง ๆ แล้วในเชิงของกำไรไม่ค่อยจะได้ประโยชน์ และไม่ได้กระทบจากโควิด-19 อะไร ก็คือกลุ่มโรงไฟฟ้า ย้อนกลับไปสมัยก่อน 10 ปีที่แล้ว ถ้าบอกจะซื้อโรงไฟฟ้าต้องหวัง Dividend Yield 4 – 5% จากกลุ่มหุ้นโรงไฟฟ้า มาวันนี้ Dividend Yield 2-3% ก็ซื้อ เพราะว่าเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเมื่อก่อนอยู่ที่ 4% กว่า

วันนี้มาดอกเบี้ยอยู่ที่ 1% ก็เลยคิดว่าถ้าบริษัทนี้ยังสามารถสร้างกระแสเงินสดที่ดี การเติบโตยังสามารถไปได้ก็เข้าซื้อหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า ซึ่งตัวที่เราคิดว่า ดูน่าสนใจตัวใหญ่ ๆ จะมี 3 ตัว คือ 1. RATCH (บมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง) 2. EGCO (บมจ.ผลิตไฟฟ้า) พวกนี้เค้าโตเรื่อย ๆ อยู่แล้ว และก็เริ่มมีการขยายตัวไปต่างประเทศ และก็มีเรือธงของกลุ่มปตท. คือ GPSC (บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่)

แต่ถ้าเป็นตัวขนาดกลางลงมาหน่อย เราะจะดูตัว CKP (บมจ.ซีเค เพาเวอร์) ซึ่งบริษัทนี้จะทำเขื่อนไฟฟ้า ปีที่แล้วมีเรื่องแล้งมา ปีนี้น้ำเริ่มมาแล้ว เพราะฉะนั้นในปลายปีนี้เทียบกับปีที่แล้วเราจะเห็นภาพที่ต่างจากผลกำไรค่อนข้างจะชัดเจน และก็มีโปรเจคใหม่ของไซยะบุรีเข้ามาด้วย ฉะนั้น ซีเค เพาเวอร์ก็จะเป็นอีกตัวหนึ่งที่ดูน่าสนใจในกลุ่มโรงไฟฟ้า อันนี้เป็นสตอรี่แรกก็คือดอกเบี้ยต่ำใครได้ประโยชน์

สตอรี่ 2 ที่น่าจะได้ประโยชน์คือกลุ่มที่มีการเปลี่ยนในเชิงโครงสร้าง behavior พวกเทคโนโลยี 5 G อย่างเช่นเราเห็นเลยว่า พอโควิด-19 มา พฤติกรรมที่เห็นของคนทำงานก็คือ เรามี Work from Home แล้วพอเราได้ลอง Work from Home ไปประมาณ 3 เดือน มันก็สามารถทำงานได้ รวมถึงพฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์ อันนี้ที่เห็นชัดว่า คนเริ่มซื้อไม่ใช่แค่อายุ 30-40 ปี แต่คนอายุ 50 ปี ซื้อของออนไลน์เป็น คน 60-70 ปี ก็เริ่มปรับตัวหันมาซื้อของออนไลน์บ้างแล้วเช่นกัน

โดยหุ้นที่จะได้ประโยชน์มากที่สุดน่าจะเป็น COM7 (บมจ.คอมเซเว่น) หรือถ้ามาแบบสตอรี่ยาว ๆ คนใช้ 5G เยอะ ก็ต้องไป HANA (บมจ.ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส์) และเมื่อเกิดพฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น มาเก็ตแชร์น่าจะขึ้นได้ในระยะยาวน่าจะเป็น HMPRO(บมจ.โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์)

ส่วนสตอรี่ที่ 3 เรื่องของ Aging Society ที่ยังอยู่กับเรา เรื่องของความอายุยืน อีก 10 ปีข้างหน้า คนจะอายุยืนจะมากว่า 30% ของประเทศ เพราะฉะนั้นกลุ่มโรงพยาบาลปีนี้อาจจะบอกว่า ได้รับผลกระทบโควิด-19 เพราะช่วงโควิด-19 มา คนก็ไม่ยอมไปโรงพยาบาล ป่วยไม่หนักจริงก็ไม่ไปเพราะกลัวติดโรคกลับมา แต่ระยะยาว ๆ BDMS (บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ) หรือ CHG (บมจ.โรงพยาบาลจุฬารัตน์) จะยังเป็นตัวที่น่าสนใจ แต่อีกตัวหนึ่งที่เป็นตัวอาหารเสริม อย่าง MEGA (บมจ.เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์) ซึ่งไม่ได้โตแค่ในประเทศแต่ไปโตในต่างประเทศด้วย ไม่ว่าจะเป็นในกัมพูชา เมียนมา ล่าสุดไปอินโดด้วย

สตอรี่ 4 Green Energy ซึ่งในบ้านเราอาจจะมีไม่กี่ตัว แต่ว่ามันมีอยู่ตัวหนึ่งที่มันไป Green Energy ชัดเลยคือ ทำโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ เราทำพลังงานลม และก็มีพวกรถไฟฟ้า เรือไฟฟ้า ก็คือ EA (บมจ.พลังงานบริสุทธิ์)

สตอรี่สุดท้ายที่ 5 คิดว่าจะเห็นก็คือว่า มันจะมีผู้ชนะและผู้แพ้ ต้องมีคนที่มีมาร์แชร์มากขึ้น และก็มีผู้ที่ล้มหายตายจากไปจากธุรกิจได้ เช่นกลุ่มที่ประกอบอาชีพขายสินค้าไอที ที่ก่อนหน้านี้เราพูดถึง COM7 ไปก่อนหน้านี้ ก็จะเป็นอีกหนึ่งตัวที่เค้าสามารถขายสินค้าไอทีได้มากขึ้น อย่างล่าสุด เราคุยกับเค้ายอดขายเดือนก.ค.63 กลับมาโต เพราะมีสายป่านที่ยาว ฉะนั้นคนที่อยู่รอดรอบหน้าก็จะแข็งแรงมากขึ้น จะมีมาเก็ตแชร์มากขึ้น HMPRO ก็จะมีมาเก็ตแชร์มากขึ้น โดนโควิด-19 คนไม่มาซื้อแต่พลิกมาซื้อออนไลน์ได้ และมีความน่าเชื่อถือ

ขณะที่ธุรกิจประกันต้องมีการปรับตัวเป็นแพตฟอร์มออนไลน์ ใครที่ทำแพตฟอร์มออนไลน์ได้ดีมากในช่วงโควิด-19 ซึ่งไม่ได้เป็นบริษัทประกันแต่เป็นนายหน้าขายประกัน อย่าง TQM (บมจ.ทีคิวเอ็ม คอร์ปอเรชั่น) มาเก็ตแชร์ก็จะได้มากขึ้น

นี่จะเป็นกลุ่มสตอรี่ที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว แต่อย่างไรก็ตาม นักลงทุนก็ต้องควรศึกษาข้อมูลให้ลึกก่อนที่จะเลือกเข้าไปลงทุนนะคะ เพื่อจะได้ไม่พลาด และคราวหน้าอิป้าจะมาบอกว่า หุ้นกลุ่มไหน ที่ไม่ควรลงทุนมีอะไรบ้างไว้เป็นแนวทางให้แก่นักลงทุนต่อไปค่ะ…วันนี้ไปล่ะค่ะ บ๊ายยย

Facebook Comments