รงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี

มาแล้วค่ะ อิป้าหามาเล่า ปฎิเสธไม่ได้เลยนะคะว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคคนไทยหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพ ด้วยการเลือกรับประทานอาหารเสริม และยาสมุนไพรกันมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการแข่งขันในตลาดค่อนข้างสูง

ซึ่งถือว่าน่าสนใจเป็นอย่างมาก และเมื่อหลายเดือนก่อนอิป้าได้มีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับ 2 ผู้บริหารหนุ่มอย่าง พท.ภ. พิษณุ แดงประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานวิจัยและพัฒนา ดร. สิทธิชัย แดงประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) พัฒนาผลิตและจําหน่ายยาแผนปัจจุบัน ยาแผนโบราณ ผลิตภัณฑ์สมุนไพร ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เวชภัณฑ์ และแอลกอฮอล์ทำความสะอาด ภายใต้เครื่องหมายการค้าของ ลูกค้า และเครื่องหมายการค้าของบริษัท

โดยสองผู้บริหารเริ่มเล่าให้เราฟังว่า ถึงความเป็นมาของบริษัทกำเนิดมาตั้งแต่รุ่นคุณปู่ อากง สมัยก่อนทำร้านขายยาอยู่ย่านหัวลำโพง เป็นชื่อสุภาพโอสถนี่แหละที่เรานำมาใช้ หลังจากนั้นปู่ผมก็มาสร้างโรงงานยาแผนปัจจุบัน ถ้าเป็นต้นตระกูลเรามีโรงงานแผนปัจจุบันอยู่ 3 โรง หลังจากนั้นพวกผมก็คือ เป็นเจนเรอเรชั่นที่ 3 มีพี่น้อง 4 คน ผมจบด้านเทคโนโลยี ชีวภาพ วิทยาศาสตร์อาหาร ก็มาเปิดโรงงานอาหารเสริม หลังจากโรงงานยาแผนปัจจุบัน ก็มาเปิดโรงงานอาหารเสริม หลังจากเปิดโรงงานอาหารเสริม ก็มาเปิดโรงงานผลิตยาสมุนไพร และหลังจากนั้นก็มาทำเครื่องสำอาง ทำเรื่อยมา

ทั้งนี้ธุรกิจยาค่อนข้างใช้เงินลงทุนค่อนข้างสูงถึงสูงมาก หากต้องการทำให้เป็นมาตรฐานโกลบอลสแตนดาร์ด หรือมาตรฐาน GMP ก็เลยมองว่า การทำธุรกิจครอบครัว หรือธุรกิจ SME มันไม่สามารถยั่งยืนสู่เจนเนอเรชั่นถัดไปได้ง่าย ๆ ก็เลยมีการพูดคุยกันในครอบครัวว่า เราชิฟออกจากการเป็นธุรกิจครอบครัว มาเป็นการทำงานแบบ Professional สามารถระดมทุนได้ ก็เลยมีการดำเนินการเพื่อปรับโครงสร้างองค์กรและปรับเข้าสู่เป็นตลาดหลักทรัพย์ฯ อันนี้คือที่มาของเรา

สำหรับการแข่งในแนวธุรกิจนี้ในธุรกิจอาหาร ในส่วนของยาแผนปัจจุบันการแข่งขันมีอยู่ 2 ตลาด คือยานำเข้าต่างประเทศและยาที่ผลิตในประเทศ รัฐบาลมีการสนับสนุนให้ประชาชนในประเทศใช้ยาสามัญที่ผลิตในประเทศเยอะขึ้น และหากพูดถึงยาของผู้ป่วยหรือการเข้าถึงยาของงบประมาณรัฐมากขึ้น เพราะฉะนั้นโดยรวมของธุรกิจยาสามัญในประเทศมีโอกาสเติบโตสูงขึ้น แต่การแข่งขันก็สูง แต่คู่แข่งมีน้อยราย โรงงานยาแผนปัจจุบันในประเทศมีไม่เกิน 200 ราย และโอกาสที่ยาแผนปัจจุบันจะส่งออกตลาด CLMV หรือตลาดต่างประเทศก็มีความเป็นไปได้

ส่วนธุรกิจสมุนไพร หรือยาแผนโบราณ เป็นโอกาสเติบโตค่อนข้างเร็ว เพราะคู่แข่งมีน้อยราย และการสร้างความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสูงขึ้นเรื่อย ๆ จากการโปรโมทของรัฐบาล เช่นการโปรโมทเรื่องฟ้าทะลายโจร เป็นต้น ทำให้ก่อนหน้านี้คนที่ไม่ยอมกันยาสมุนไพรโบราณ หรือว่าแอนตี้ไปเลย ก็กลับมาเชื่อถือมากขึ้น จะเห็นกระแสจากฟ้าทะลายโจร โรงงานที่ผลิตยาแผนปัจจุบันที่เป็นรายใหญ่มีอยู่ประมาณไม่เกิน 50 ราย จากโรงงานที่ผลิตทั้งหมดที่เป็นอ.ย. มีอยู่ ประมาณ 1,000 โรงงาน เพราะฉะนั้นโอกาสของโรงงานขนาดเล็ก การเติบโตคือใช้องค์ความรู้ดั้งเดิม แผนโบราณ การเติบโตของโรงงานขนาดใหญ่เติบโตด้วยมาตรฐานและมีคุณภาพการผลิตบวกองค์ความรู้แพทย์แผนไทย เพราะฉะนั้นแนวโน้มมุมมองคือ ตลาดยาแผนโบราณจะเติบโตเพิ่มขึ้นเยอะ

“ผมมีทั้งยาปัจจุบัน โรงงานผลิตยาแผนปัจจุบัน โรงงานอาหารเสริม สมุนไพร และยังมีโรงงานสกัดตัวกันชงอีก เพราะฉะนั้นเราค่อนข้างครบ และเราก็ยังรับจ้างผลิตด้วย ทำแบรนด์ของตัวเองด้วย ถือว่าเป็นทางเลือกให้กับลูกค้าได้ค่อนข้างมาก และยังสามารถนำธุรกิจไปได้เร็ว”

ซึ่งการเข้ามาในตลาดหลักทรัพย์ในโรงงานยาแผนปัจจุบัน โรงงานหนึ่งต้องมีประมาณ 200 – 300 ล้านบาท ใช้เวลากว่าจะขึ้นทะเบียนผลิตได้อีก 3 ปี การขึ้นทะเบียนยาตัวหนึ่งใช้เงินมากกว่า 5 ล้านบาท ฉะนั้นการเป็น SME ถ้าเราเอากำไรมาต่อยอดหรือนำเงินแบงก์มาต่อยอด มันเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ขณะที่ผมมีทั้งยาแผนปัจจุบัน ทั้งลงทุนสร้างโรงงาน ทั้งลงทุนวิจัย ยาแผนโบราณ ลงทุนโรงงานถ้าเป็นโรงงานขนาดใหญ่จะใช้เงินเกิน 100 ล้านบาท ขณะที่โรงงานอาหารเสริมของเราค่อนข้างใหญ่ในฐานะผู้รับจ้างผลิต แต่อาหารเสริมที่เราเน้นลงทุนไม่ใช่โรงงาน แต่เราต้องสร้างภาพลักษณ์ การตลาด เพราะว่าการแข่งขันตลาดอาหารเสริมค่อนข้างสูง การทำแบรนด์ตัวเองก็ต้องลงทุนด้านการตลาด เพราะฉะนั้นการระดมทุนส่วนหนึ่งเราจะงบมาขยายการตลาด เพื่อสร้างแบรนด์ตัวเอง จะทำให้เราสร้างแบรนด์ได้อย่างแข็งแรงมั่นคงมากยิ่งขึ้น

ความคืบหน้า แผนจาการระดมทุนไอพีโอตอนนี้ งานผลิตยาแผนปัจจุบันเราเริ่มแล้วเริ่มที่กรุงเทพฯ ที่เป็นโรงงานยาน้ำ และเรามีการขยายโรงงานอาหารเสริมแบบเป็นแคปซูลนิ่ม ที่โรงงานจังหวัดลำพูน เรามีการสร้างและขยายโรงงานผลิต สกัด กัญชง มีการสร้างโรงงานแล้วปัจจุบันที่จังหวัดลำพูน ส่วนการระดมทุนอีกส่วนหนึ่งก็คือ เพื่อไปลดทางการเงินที่ต้องนำไปใช้หนี้ให้กับทางธนาคาร อีกส่วนหนึ่งก็คือการลงทุนด้านการตลาด จะเห็นว่า จากการที่มีงานแถลงข่าวออกไป เรามีการโคแบรนด์กับทีวีไดเรค ลงทุนการตลาดร่วมกัน ร่วมถือการทำสื่อต่าง ๆ อีกมากมาย เพื่อสร้างแบรนด์มากยิ่งขึ้น และระดมทุนเพื่อขยายตลาดไป CLMV มากขึ้น ตอนนี้มีการดำเนินการไปบ้างแล้ว

แนวทางการทำธุรกิจในช่วงวิกฤติที่ผ่านมาเน้นการปรับตัวเร็ว ยาแผนปัจจุบันของเราไม่ได้เติบโตมากนัก เพราะว่ามันไม่มียาที่ตรงกับเรื่องของโควิดมาก แต่ดูอย่างยาแผนโบราณการที่เราปรับตัวเร็วคือ เราทำฟ้าทะลายโจร นอกจากทะเบียนฟ้าทะลายโจรสุภาพโอสถ เรายังมี OEM ฟ้าทะลายโจรอีกหลายทะเบียน เป็นทะเบียนของลูกค้า หรือยาห้าราก ยาแก้ไข ซึ่งล้วนแล้วแต่เกี่ยวกับโควิด ส่วนอาหารเสริม เราก็ออก OEM เรื่องอิมมูน เช่นกระชายขาว หรือวิตามินรวม ทั้งที่เป็นแบรนด์ของเราเอง และที่เป็นแบรนด์รับจ้างผลิต

ไตรมาส 1/65 ณ วันที่ 31 มีนาคม 2565 มีสินทรัพย์รวมทั้งสิน 1,205.74 ล้านบาท มีหนี้สินรวม 250.90 ล้านบาท ROA อยู่ที่ 1.97% ROE อยู่ที่ 1.13% ณ วันที่ 2 มิถุนายน 2565 P/E อยู่ที่ 250.35 เท่า P/BV อยู่ที่ 2.79 เท่า มาเก็ตแคปอยู่ที่ 2,661.25 ล้านบาท ราคาล่าสุดอยู่ที่ 5.85 บาท

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 10 อันดับแรก ณ วันที่ 20 เม.ย. 2565 ลำดับที่ 1 บริษัท สุภาพ กรุ๊ป จำกัด จำนวน 149,999,000 หุ้น หรือ 32.97% อันดับที่ 2 นางจินตนา สันติพิสุทธิ์ จำนวน 30,000,200 หุ้น หรือ 6.59% อันดับที่ 3 นายสิทธิชัย แดงประเสริฐ จำนวน 29,300,200 หุ้น หรือ 6.44% อันดับที่ 4 นายพิษณุ แดงประเสริฐ จำนวน 29,300,200 หุ้น หรือ 6.44% อันดับที่ 5 นายสรสิช แดงประเสริฐ จำนวน 29,300,200 หุ้น หรือ 6.44% อันดับที่ 6 น.ส.จิรดา แดงประเสริฐ จำนวน 29,300,200 หุ้น หรือ 6.44% อันดับที่ 7 นายวสันต์ จาวลา จำนวน 21,500,000 หุ้น หรือ 4.73% อันดับที่ 8 ทรัสต์เพื่อกิจการเงินร่วมลงทุน สำหรับธุรกิจเอสเอ็มอีก้าวไกลไปด้วยกัน 1 จำนวน 19,000,000 หุ้น หรือ 4.18% อันดับที่ 9 นายประสิทธิ์ชัย แดงประเสริฐจำนวน 14,620,000 หุ้น หรือ 3.21% อันดับที่ 10 นายธีรพงศ์ จันศิริ จำนวน 5,710,000 หุ้น หรือ 1.25%

อย่างไรก็ตาม ได้ฟังมุมมองของสองผู้บริหารหนุ่มเจนเนอเรชั่นที่ 3 นั้่นดูจะมีวิสัยทัศน์ที่ก้าวไกลมาก ๆ ซึ่งและตัวธุรกิจเองก็มีความน่าสนใจ ซึ่งพออิป้าได้ฟังแล้วก็อยากจะมีธุรกิจสมุนไพรเป็นของตัวเองบ้างแล้วล่ะคร้าาา…วันนี้ไปล่ะค่ะ…บ๊ายยยย

Facebook Comments