มาแล้วค่ะ อิป้าหามาเล่า คอลัมน์จับเข่าคุย วันนี้ได้มีโอกาสเข้าไปนั่งคุยกับ ก้อง – ชัยธวัฒน์ เจริญพุทธิพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซุปเปอร์เทรดเดอร์ อินฟินิต จำกัด (Supertrader Infinite) และเป็นนักลงทุนอิสระ กับเส้นทางการลงทุนที่อาจจะไม่ได้สวยหรูมาตั้งแต่ต้น แต่ด้วยความมุมานะ ขวนขวาย และตั้งใจจริง ทำให้ก้าวผ่านมาได้
ก้อง เริ่มเล่าว่า ย้อนกลับไปเมื่อช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เริ่มประสบการณ์การลงทุนครั้งแรก เมื่อปี 2011 ตอนนั้นเริ่มเข้าตลาดทองคำ ซึ่งถือว่า เป็นยุคตื่นทอง และมีทำธุรกิจส่วนตัวด้วยด้านกราฟฟิคดีไซด์ และเป็นเอเจนซี่ งานพิมพ์ที่่ถนัดเพราะได้ร่ำเรียนมา แต่พอเริ่มทำธุรกิจไปสักพัก ก็เริ่มคิดว่า ต้องเริ่มหันมาเข้าใจการลงทุนบ้างแล้ว แต่ด้วยเมื่อ 10 ปีที่แล้ว มันค่อนข้างหากลุ่มการลงทุนค่อนข้างยาก ความรู้ต่าง ๆ ค่อนข้างยาก เลยมุ่งตรงไปหาตลาดหลักทรัพย์ฯ ในตอนนั้่นเฟสบุค หรือไลน์ก็ยังไม่ได้แพร่หลายมากนัก หรือพวกหนังสือเองก็เป็นหนังสือแปลจากต่างประเทศ ตอนนั้นก็รู้สึกว่า อยากลงทุน และเป็นยุคที่่ทองคำ กำลังได้รับความนิยม ดัชนีตอนนั้น วิ่งไปแถว ๆ 1,000 กว่าจุด วิ่งไปถึง 1,800 – 1,900 จุด ตอนนั้นที่ทำ High ประมาณปี 2011 – 2012 เป็นยุคที่ทุกคนไปต่อคิวที่เยาวราช เช้าซื้อปุ๊บ บ่ายขายเลย และก็ไปต่อคิวกัน
แต่ก็มาคิดว่า เราเป็นคนรุ่นใหม่ในยุคนั้นก็จะมีโปรดักซ์โกลด์ออนไลน์ เปิดพอร์ตใส่เงินเข้าไปก็ซื้อได้เลย มีตั้งแต่ 1 บาท ไปจนถึง 10 บาท สามารถซื้อปุ๊บถ้าราคาขึ้นก็ขายได้เลย เป็นการซื้อแบบไม่รู้เรื่อง เปิดพอร์ตและซื้อเลย เป็นการซื้อตามข่าว และก็เข้าไปลงทุน เริ่มแต่ก็ซื้อแค่ 1 บาท ต่อได้กำไรมา 200 บาทก็ขายได้ สักพักเริ่มใส่เงินเข้าไปเยอะหน่อย 5 บาท ก็ยังพอได้อยู่ และดัชนีก็ยังขึ้นไปเรื่อย ๆ โดยไม่รู้เลยว่า มันขึ้นเพราะอะไร รู้ไม่จริง รู้แต่ว่ามันขึ้นเท่านั้น ในยุคนั้น เพราะตอนนั้นก็ยังดูกราฟยังไม่เป็นฟังแต่ข่าว และก็เข้าไปซื้อ และเริ่มลงทุนแต่คิดว่า น่าจะใช่ทางของเรา ซื้อทีไรกำไรทุกที จะมีขาดทุนก็น้อยมาก
และก็เริ่มเติมเงินเข้าไปเพิ่มตอนนั้นรู้สึกใช้เงินลงทุนราว ๆ 1 ล้านบาท จากการทำธุรกิจ สุดท้าย พอซื้อไปมันเริ่มย่อ และไม่รู้จัก Cut Loss ก็ซื้อถั่วเข้าไปอีกก็ลงมาอีก ซื้อจนเงินหมด และสุดท้ายก็เป็นขาลงจริง ๆ ตอนนั้นทองคำลงมาแถว ๆ 1,900 จุด ลงไปเหลือ 1,100 จุด เพราะไม่รู้เรื่องเลย และมองว่า มันยาก แต่ยังโชคดีคือ ด้วยตัวโปรดักซ์ โกลด์ออนไลน์ ซึ่งถ้าเราไม่ได้ขายคืนในระบบสามารถนำออกมาเป็นทองคำได้ในรูปทองคำแท่ง อันนี้ถือเป็นบาดแผลแรกของผมเลยที่เข้ามาในตลาด
หลังจากที่เข้ามาลงทุนในตลาดทองคำแล้วรู้สึกว่า ไม่ประสบความสำเร็จก็กลับมาทำธุรกิจต่อในช่วงปี 2012 แต่ก็ยังติดใจอยู่ว่า ทำไมเราถึงไม่เข้าใจข้อมูลต่าง ๆ กราฟเทคนิคต่าง ๆ ก็เลยกลับไปเรียน และต้องเรียนอย่างจริงจัง ก็พยายามไปหาคอร์สเรียน ไปเรียนตามที่มีเปิดสอนฟรี ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มีการจัดเปิดสอนเป็นระยะ ๆ โดยให้กูรู หรือโค้ดมาสอน พยายามเข้าไปเรียน และมี take course เข้าไปเรียนบ้าง ให้รู้และเข้าใจ เพราะพอย้อนกลับไปในตอนนั้นที่เข้าไปในตลาดทองคำ ทีแรก คือไปอ่านเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นแล้วไม่เข้าใจ รู้สึกว่า หุ้นมันจะเกี่ยวกับเรื่องของตัวเลข การเงิน เรื่องของพื้นฐานบริษัท ซึ่งตัวผมเองไม่ค่อยจะมีความรู้ทางด้านนี้เยอะ เพราะเราไม่ได้มาด้านสายไฟแนนซ์ หรือการเงิน เรามาสอนอาร์ท สายกราฟฟิค เลยต้องไปหาความรู้เพิ่มเติม
และกลับเข้ามาใหม่ ศึกษาตัวเองจากที่ได้ไปหาความรู้มา จึงพบว่า การดูชาร์ต หรือกราฟทำให้เราเข้าใจมากกว่า เลยคิดว่า เราน่าจะมาทางสายเทคนิคอล หากย้อนกลับไป 10 ปีก่อน สายเทคนิคอลยังน้อยมากในการหาความรู้ ส่วนใหญ่จะเป็นตามตำราหนังสือแปลมากกว่า แต่ก็ยังพอหาเรียนได้ก็ไปหาเรียนและกลับเข้ามาในตลาด ตอนนี้เริ่มพอที่จะเข้าใจแล้ว เริ่มดูชาร์ต เริ่มซื้อหุ้นเป็น เริ่มดูแนวรับได้
พอเริ่มซื้อเป็นก็เริ่มรู้สึกร้อนวิชา ได้กำไรมานิดหน่อยก็เริ่มขายทำกำไรบ้าง และเริ่มขยายไปสู่ตลาด TFEX เป็นสินค้าที่อ้างอิงกับดัชนี SET50 ตอนนั้นรู้สึกว่า ใช้เงินน้อยแต่ Leverage สูง ตอนนั้นจุดละ 1,000 บาท เราก็วาง 5 จุด ก็ 5,000 บาท แบบง่าย ๆ ในยุคนั้น 5,000 บาท ก็ถือว่า โอเคแล้วสบายแล้วถ้าได้ขนาดนี้ และเล่นได้ทั้งขาขึ้นและขาลงด้วย เลยเริ่มไปศึกษาเรื่อง TFEX และก็โดนไปอีก นี่ขนาดคิดว่ารู้จริงแล้ว พอเข้ามาในตลาดจริง ๆ มันไม่ใช่คนละเรื่องกันเลย ไม่เหมือนที่ได้ไปร่ำเรียนมากลับไปหาความรู้เพิ่มอีกรอบ
ขณะที่หุ้นก็มีหลายตัวที่ทำให้ติดดอย แต่ที่ผมได้ ๆ จะไปได้ในTFEX ที่ค่อนข้างจะได้เป็นกอบเป็นกำ สร้างกระแสเงินสดได้ แต่มันจะมีหุ้นอยู่ตัวหนึ่ง ที่เราลงทุนไปแล้ให้ผลตอบแทนประมาณ 200 – 300% ก็มีบ้าง แต่ตัวที่ติดดอยเลยจะเป็นหุ้นซิ่ง มันเล่นกันเร็ว และเราเล่นเดย์เทรด บางทีมันก็มีติดดอยบ้าง ปะปนกันไป แต่ผมพอได้รู้จักกับพี่ซัน – กระทรวง จารุศิระ ได้เข้าไปนั่งเทรดด้วยกันแล้ว ได้นั่งลงทุนด้วยกัน ก็จะรู้ว่า เทคนิคการลงทุนของแต่ละคนไม่เหมือนกัน อย่างพี่ซันจะเล่นเร็ว ดู บิท ออฟเฟอร์ เข้าออก แบบไม่ต้องดูชาร์ตเลย แต่ในขณะที่เรากว่าจะตั้งหลักดูชาร์ต ได้แนวรับแนวต้านกว่าเราจะซื้อทีมันนานกว่า เขาเยอะเลย เราก็เลยลองไปศึกษา
ก่อนที่จะมาได้รู้จักกับพี่ซัน ผมเริ่มจากไปหากลุ่มต่าง ๆ ในเฟสบุคอยู่ ไปเจอกลุ่มหนึ่งที่ พี่ซัน เป็นเจ้าของห้อง และเพิ่งได้แฟนพันธุ์แท้ตลาดหุ้นไทยปี 2013 เราก็ดูอยู่ประทับใจว่า พี่คนนี้เก่งมาเลย ตอบได้ยังไง ทุกตัวเลย เราจำได้ เราก็ได้เข้าไปศึกษา และวันหนึ่ง พี่ซันก็ได้ประกาศในกลุ่ม อยากทำโลโก้สวย ๆ เพราะก่อนหน้านี้ไม่มีแบรนด์อยากทำโลโก้เพื่อเวลานัดเจอกัน หรือมีมีทติ้งกัน
โดยรางวัลคือ จะได้ไปกินติ่มซ่ำกับพี่ซัน แค่นี้พร้อมกับอาจารย์หยง และพี่ป๊อบ แฟนพันธุ์แท้รุ่นก่อนหน้า ผมก็เลยรู้ว่า โอกาสมันมา การที่เราจะได้หากลุ่มอยู่ หรือการจะไปรู้จักนักลงทุนจริง ๆ มันยาก แต่ผมคิดว่า นี่คือสุดยอดรางวัลของผม ผมก็ส่งผลงานของผมเข้าไปด้วย สุดท้ายผมก็ชนะโหวดที่ 1 และได้ไปเจอพี่ซัน อาจารย์หยง พี่ป๊อบ
พี่ซันน่ารักมาก กินข้าวก็คุยเรื่องการลงทุนกัน เสร็จก็ชวนว่า ก้อง ฝีมือดี พี่กำลังอยากทำรายการเกี่ยวกับเรื่องหุ้น ที่เอาเทรดเดอร์มาจัดอันดับกันว่าใครจะเก่งที่สุด นั้นก็คือ รายการซุปเปอร์เทรดเดอร์ ไทยแลนด์ และนี่ก็เป็นอีกจุดเริ่มต้นของการทำรายการ ซุปเปอร์เทรดเดอร์ จนถึงทุกวันนี้ เป็นจุดที่ได้เจอพี่ซัน
เราก็เลยรู้สึกว่า จริตในการลงทุนของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน สไตส์การลงทุนไม่เหมือนกัน มันจะไม่สามารถมาก๊อปกันได้เป๊ะ ๆ แต่อาจจะได้เทคนิค การที่เราจะซื้อหุ้น หรือเล่น ทีเฟก มันต้องมีชาร์ตประกอบ เราถึงจะเข้าใจมากกว่า และเทคนิคของผมคือ จะชอบให้มีตัวเขียว ๆ นาน ๆ ในพอร์ต แต่ตัวแดง ๆ ผมจะไม่ค่อยมี ถ้าเห็นแดง ๆจะคัดออกเลย เจ็บแต่จบเลยยอม แต่ถ้าเป็นตัวเขียวจะยอมถึงได้นาน ปล่อยให้รันไปเรื่อย ๆ ต่างจากนักลงทุนบางท่านที่ผมเจอ พอเจอเขียวแล้วรีบขายเลย แดงถือไว้ก่อน
เวลาที่ผมเลือกหุ้น และพอร์ตมันเขียว ผมโอเค ถ้าปล่อยให้แดงไปนาน ๆ เงินจะถูกฝังอยู่ตรงนั้น แล้วก็ขาดสภาพคล่องก็ต้องคัสออกไป เป็นการเล่นกับเทรนด์ แต่จริง ๆ แล้ว บางครั้งตลาดก็ไม่ค่อยมีเทรนด์เราก็ปรับกลยุทธ ถ้าเป็นไซด์เวย์ เหวี่ยงไปมา เราก็ต้องเปลี่ยนเป็นสวิงเทรด ซื้อที่แนวรับ ไปขายที่แนวต้าน แต่ว่า ต่อให้จริต เราจะเป็นอย่างนั้น เรื่องของไมเซตก็สำคัญ ซึ่งอย่างที่ผมบอก บอกว่าเห็นเขียวไม่ได้เลย พอบวกขึ้นไป ลดลงมาหน่อยขายเลยกลัวไม่ได้ตัง แต่ของผม เขียวอะดี รันไปเลย แต่พอแดงยอมคัส มันเลยทำให้พอร์ตไม่ได้ติดลบนาน ก็โตได้ ผมก็เลยคิดว่า Mindset สำคัญเราต้องสังเกตตัวเองว่า เราเป็นเทรดเดอร์แบบไหน จริตเป็นแบบไหน ควรจะศึกษาลองให้รู้ว่า เราชอบลงทุนในสไตส์ไหน แบบไหน ชอบถือนาน ชอบเล่นสั้น ชอบเล่นเร็ว
ปัจจุบันนี้ตอนนี้หลัก ๆ ทำซุปเปอร์เทรดเดอร์อินฟินิช ต่อยอดมาจากรายการซุปเปอร์เทรดเดอร์เดิมที่เคยทำกันมาตั้งแต่ปี 2014 จำนวน 4 ซีซั่น ทางซุปเปอร์เทรดเดอร์ พี่ซันก็มาทำเกี่ยวกับอินเวสเมนท์ อคาเดมี่ ซุปเปอร์เทรดเดอร์รีพับลิค ที่ให้ความรู้นักลงทุนแบบจริงจัง เป็นสถาบันเรียนรู้เรื่องการลงทุน ก็เลยหยุดพักรายการซุปเปอร์เทรดเดอร์ไป
ปีนี้ 2022 เราเห็นว่าตลาด มันเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่แค่ตลาดหุ้นไทยที่เราคุุ้นเคยอย่างเดียวแล้ว สมัยนี้มันมีทั้งเรื่องของตลาดต่างประเทศที่เรานักลงทุนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องบินไปเปิดพอร์ตในต่างประเทศสามารถเปิดในประเทศได้เลย ออนไลน์ได้เลย ความรู้ก็เริ่มมีมากขึ้น และตลาดต่างประเทศเอง เป็นตลาดลงทุนที่ใหญ่กว่าบ้านเราที่เราควรจะศึกษา ถ้าเทียบคือ ประมาณ 10 เท่า หุ้นมีประมาณ 8,000 กว่าตัว เยอะมาก และมีเครื่องมือให้ใช้เยอะมาก อย่างออฟชั่น สามารถใช้เก็งกำไรได้ ทั้งขาขึ้นและขาลงทำได้เหมือนกัน หรือเราอยากซื้อหุ้น รู้จักเช่น เฟสบุค แอปเปิ้ล กูเกิ้ล ไปลงทุนในต่างประเทศก็เป็นอีกทางเลือกที่ดี
ส่วนตลาดคริปโตเคอร์เรนซี่ มองว่า เป็นเรื่องการลงทุนในอนาคต ก็บูมมา 2 ปีแล้ว แม้ว่าปีนี้อาจจะไม่ค่อยคึกคักเท่าไร่ แต่เรามองว่า ตลาดมันเปลี่ยนไปแล้วไม่ใช้แค่การลงทุนในประเทศไทยอย่าเดียวแล้ว แต่เราสามารถเข้าถึง สินค้าได้ทั่วโลกแค่ออนไลน์ ก็เลยคุยกันกับพี่ซันว่า เราคุยมาให้ความรู้เพื่อเป็นการติดอาวุธให้กับนักลงทุนรอบด้านไม่ใช่แค่หุ้นไทยที่เราคุ้นเคยกันอย่างเดียว รายการซุปเปอร์เทรดเดอร์ก็เลยกับมาใหม่ เป็นชื่อซุปเปอร์เทรดเดอร์อินฟินิช เป็นการให้ความรู้แบบไร้ขีดจำกัด ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นไทย ทีเฟก ตลาดต่างประเทศ ตลาดคริปโต เป็นต้น เราก็จะเชิญกูรูในแต่ละด้าน ไม่ใช่แค่ทีมโค้ดที่อยู่ในซุปเปอร์เทรดเดอร์เพียงอย่างเดียว มีการเชิญกูรูที่มีความเชี่ยวชาญมาเป็นวิทยากรในการสอนด้วย ฉะน้ันคนที่จะเข้ามาในโครงการนี้ก็จะได้ความรู้ทั้ง 4 ตลาด
สุดท้ายหนุ่มก้องฝากบอกว่า โครงการนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน 2565 จนถึง 30 พฤศจิกายน 2566 ผู้สมัครทุกท่านจะได้รับสิทธิ์ในการแข่งขันวัด Performance ด้วยพอร์ตการลงทุนจริง เพื่อรับรางวัลความสำเร็จ รับสิทธิ์ชิงรางวัลใหญ่ รถยนต์ไฟฟ้า TESLA MODEL 3 และของรางวัลอื่น ๆ รวมมูลค่ากว่า 15 ล้านบาทเลยทีเดียว …วันนี้ไปล่ะค่ะ…บ๊ายยย