ถ้าพูดถึงเรื่องการ ลงทุนหุ้น ในสมัยก่อน อิป้าเชื่อว่าหลายคนคงเบือนหน้าหนี เพราะเข้าใจย๊ากยาก แถมมองว่าเป็นเรื่องไกลตัวอีกต่างหาก แต่พอมายุคสมัยนี้อิป้าเห็นเด็กรุ่นใหม่ตื่นตัวกับการลงทุนสะท้อนให้เห็นว่าการลงทุนทุกวันนี้เป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ง่าย เช่นเดียว “ทิพย์ – อฑิตยา อมราสกุลทรัพย์” ที่เริ่มสนใจลงทุนในหุ้นตั้งแต่อายุเพียง 20 ปี
![ลงทุนหุ้น](https://www.epahamalao.com/wp-content/uploads/2018/12/2.jpg)
“ทิพย์” บอกว่า ตอนนั้นที่เข้ามาลงทุนในหุ้นเพราะว่าได้รู้จักรายได้แบบ Passive Income หยุดทำงานก็ยังได้เงิน จากการอ่านหนังสือพ่อรวยสอนลูก เลยไปลงเข้าโครงการ NIP 15 วัน ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เพราะรู้ว่ามันดี แต่ ณ ตอนนั้นก็ไม่จริงจังเพราะรู้สึกว่ามันยากเลยทิ้งไป
จนกระทั่งเรียนจบได้มีโอกาสทำงานหลากหลาย ทั้งทำงานประจำ และธุรกิจส่วนตัวที่ตอนนี้เป็นเจ้าธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ ทำให้พบว่า ในบางวันที่งานมันมีปัญหาหนักๆ เราอยากจะพักเหลือเกิน เหมือนคนอื่น ๆ บ้าง ก็ยังทำไม่ได้ และพอมาดูได้รายได้ก็ยังไม่เท่าพนักงานประจำด้วยซ้ำ
![ลงทุนหุ้น](https://www.epahamalao.com/wp-content/uploads/2018/12/3.jpg)
ทำให้เกิดจุดหักเหด้านการลงทุนอีกคร้ัง “ทิพย์” ได้มีโอกาสไปลงคอร์สเรียนอีกครั้ง ในตอนนั้นเลือกลงทุนใน SET100 เริ่มลงทุนแบบ DCA ด้วยเงินหลักพันเท่านั้น และค่อย ๆ เพิ่มเป็นสองพันบาท หลังจากนั้นอาจารย์ท่านหนึ่งก็แนะนำให้ลงทุนแบบ DCA ขั้นต่ำเดือนละ 5,000 บาทอีก ตอนนั้นก็เลือกหุ้มมา 4 ตัว คือ BTS , BDMS , CENTEl , CPN และเพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ 10,000 บาท โดยวางแผนไว้ว่าจะใช้เงินจากพอร์ตนี้หลังอายุ 60ปี หรือหลังไม่อยากทำงานแล้ว
สำหรับมือใหม่อย่าง “ทิพย์” ถือว่าโชคดีมากที่มีพี่ ๆ ที่ใกล้ชิดคอยแนะนำเรื่องการลงทุนในอยู่เรื่อย ๆ แต่ในตอนนั้นเราคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ยากสำหรับเรา จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ได้พบและพูดคุยกับพี่ ๆ อีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน มันกลับเข้าหัวและตั้งใจอย่างบอกไม่ถูก
![ลงทุนหุ้น](https://www.epahamalao.com/wp-content/uploads/2018/12/4.jpg)
จึงได้มีโอกาสเข้ามาลงทุนใน Private Fund โดยมีแนวคิดในการซื้อหุ้นที่ดี ในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง โดยใช้โปรแกรมในการเลือกหุ้นแบบ AI (ไม่ได้ใช้คน) เข้ามาช่วยคัดเลือกหุ้นที่ดี ซึ่งการใช้โปรแกรมนี้มีข้อดีคือ จะไม่มีอารมณ์มาเป็นตัวกำหนด แต่จะดูหุ้นที่ดีและราคาเหมาะสมในตอนนั้น แล้วหลังจากเรานำเงินเข้าพอร์ตแล้ว โปรแกรมก็จะทำการซื้อหุ้นให้กับเราโดยกระจายความเสี่ยงซื้อให้ 29-30 ตัว และจะมีการปรับพอร์ตให้ทุกๆ 1 ปี ซึ่งการลงทุนในครั้งนี้ได้วางแผนว่าจะถือยาวเกิน 10 ปี และจะใช้เงินในพอร์ตนี้หลังอายุ 60 ปี หรือหลังไม่อยากทำงานแล้วนั่นเอง
“ทิพย์” เข้ามาลงทุนในหุ้นถือว่าโชคดีมาก ๆ เพราะที่ผ่านมายังไม่เคยขาดทุน เลยยังไม่ได้มีการปรับพอร์ตเก่า มีแต่จะลงเพิ่มเรื่อยๆ แล้วใช้เป็นพอร์ตยามเกษียณ แต่มีความคิดที่จะสร้างพอร์ตใหม่โดยมี 2 เป้าหมาย คือ พอร์ตเกษียณหลังอายุ 40 ปี โดยลงหุ้นตัวใหญ่ 5-6 ตัว และกินปันผล โดยก่อนอายุ 40ปี ต้องมีเงินปันผลเดือนละ 100,000 บาทให้ได้ และพอร์ตที่สร้างเงินสดมาใส่พอร์ตเกษียณต่อ ซึ่งการคัดเลือกหุ้นที่เติบโต และให้เงินก้อนนี้โตขึ้นเรื่อยๆ โดยยอมรับความเสี่ยงสูงได้มากขึ้น
![ลงทุนหุ้น](https://www.epahamalao.com/wp-content/uploads/2018/12/5.jpg)
นอกจากนี้แล้ว “ทิพย์” ยังให้ความสำคัญกับการทำประกันสุขภาพ และมีแผนทำประกันเพิ่มโดยให้รักษาครอบคลุม รวมถึงประกันมะเร็ง อุบัติเหตุ และประกันชีวิตด้วย เนื่องจากหากเราวางแผนมาอย่างดีแล้ว เกิดเจ็บป่วยระหว่างทาง จะได้ไม่ต้องนำเงินที่ตั้งใจจะลงทุนมาจ่ายค่ารักษาพยาบาล และไม่อยากเดือดร้อนใคร แต่อยากเตรียมทุกอย่างไว้ให้ครอบครัวมากกว่า
ในอนาคต “ทิตย์” วางแผนว่า “ตอนนี้อายุ 30 ปี ภายในอายุ 40 ปี ต้องการหุ้นดีที่มีปันผลเดือนละ 100,000 บาท สำหรับพอร์ตเกษียณพอร์ตที่ใช้หลังอายุ 60 ปี หรือหลังไม่อยากทำงานแล้ว รวมถึง DCA เดือนละ 10,000 บาทพอร์ตเติบโต คาดหวังผลตอบแทนเฉลี่ย 15% ต่อปี และวางแผนออมเงินเดือน 10% ภายใน 10 ปีสำหรับเงินฉุกเฉิน”
![ลงทุนหุ้น](https://www.epahamalao.com/wp-content/uploads/2018/12/6.jpg)
“ทิพย์” ได้บอกเพิ่มเติมอีกว่า การที่เราทำธุรกิจอย่างเดียว อาจทำให้เรามีเงิน ดูแลตัวเองและครอบครัวได้ แต่อาจไม่มากพอที่จะช่วยเหลือสังคมได้ หากเราลงทุนร่วมด้วย แล้วมีเงินแบบ Passive มาอีกทาง เราก็ไม่ต้องเอาเงินที่ได้ ใช้แค่ส่วนตัวกับครอบครัว แต่ยังมีโอกาสได้ช่วยเหลือสังคมอีกด้วย โดยเราไม่ต้องตะขิดตะขวงใจว่า ช่วยสังคมแต่ตัวเองหรือครอบครัวยังไม่มีชีวิตที่ดี รวมถึงหากในอนาคตเราอยากหยุดทำธุรกิจ เราก็ยังมีเงินใช้แบบไม่เครียด แถมมีเวลาเหลือมากมายในการไปช่วยเหลือผู้อื่น หรือทำสิ่งดีๆให้สังคมต่อไป
สุดท้าย “ทิตย์” ฝากถึงนักลงทุนมือใหม่ที่สนใจลงทุนในหุ้นว่า ศึกษาก่อนดีที่สุด ต่อให้เรานับถือใครแค่ไหนบอกว่าหุ้นตัวนี้ดี รีบลงนะเดี๋ยวตกรถ และเราจะอยากลงใจจะขาดก็อยากให้ศึกษาก่อนอยู่ดี ในวันที่ได้เงินจากหุ้น เราอาจจะขอบคุณเขา แต่ถ้าในวันที่เสียเงินจากหุ้น เราก็จะได้ไม่ต้องรู้สึกโทษใคร ดังนั้นควรวิเคราะห์และตัดสินใจให้ถี่ถ้วนด้วยตัวเองก่อนการลงทุน อย่างน้อยที่สุด ถ้าเราได้เงินจากหุ้นให้รู้ว่าเราได้เพราะอะไร ถ้าเราเสียเงินจากหุ้นให้รู้ว่าเราเสียเพราะอะไร ถ้ารู้แบบนี้ได้ครั้งหน้าเราก็จะเก่งขึ้นเรื่อยๆ มากกว่าการถามคนอื่นทุกๆครั้ง หรือมากกว่าการฟลุ๊คเป็นไหนๆ
![ลงทุนหุ้น](https://www.epahamalao.com/wp-content/uploads/2018/12/7-1.jpg)
อ๊ายยยย…ไม่ได้มีดีแค่สวยอย่างเดียวนะคะ แถมเก่งรอบด้านทั้งธุรกิจและการลงทุน ต้องยกนิ้วให้เลยค้าาาา…ไปละบ๊ายยย