epahamalao

ลงทุนหุ้น ผ่าน AI สไตล์ ทิพย์ -อฑิตยา

ลงทุนหุ้น

ถ้าพูดถึงเรื่องการ ลงทุนหุ้น ในสมัยก่อน อิป้าเชื่อว่าหลายคนคงเบือนหน้าหนี เพราะเข้าใจย๊ากยาก แถมมองว่าเป็นเรื่องไกลตัวอีกต่างหาก แต่พอมายุคสมัยนี้อิป้าเห็นเด็กรุ่นใหม่ตื่นตัวกับการลงทุนสะท้อนให้เห็นว่าการลงทุนทุกวันนี้เป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ง่าย เช่นเดียว “ทิพย์ – อฑิตยา อมราสกุลทรัพย์” ที่เริ่มสนใจลงทุนในหุ้นตั้งแต่อายุเพียง 20 ปี

“ทิพย์” บอกว่า ตอนนั้นที่เข้ามาลงทุนในหุ้นเพราะว่าได้รู้จักรายได้แบบ Passive Income หยุดทำงานก็ยังได้เงิน จากการอ่านหนังสือพ่อรวยสอนลูก เลยไปลงเข้าโครงการ NIP 15 วัน ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เพราะรู้ว่ามันดี แต่ ณ ตอนนั้นก็ไม่จริงจังเพราะรู้สึกว่ามันยากเลยทิ้งไป

จนกระทั่งเรียนจบได้มีโอกาสทำงานหลากหลาย ทั้งทำงานประจำ และธุรกิจส่วนตัวที่ตอนนี้เป็นเจ้าธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ ทำให้พบว่า ในบางวันที่งานมันมีปัญหาหนักๆ เราอยากจะพักเหลือเกิน เหมือนคนอื่น ๆ บ้าง ก็ยังทำไม่ได้ และพอมาดูได้รายได้ก็ยังไม่เท่าพนักงานประจำด้วยซ้ำ

ทำให้เกิดจุดหักเหด้านการลงทุนอีกคร้ัง “ทิพย์” ได้มีโอกาสไปลงคอร์สเรียนอีกครั้ง ในตอนนั้นเลือกลงทุนใน SET100 เริ่มลงทุนแบบ DCA ด้วยเงินหลักพันเท่านั้น และค่อย ๆ เพิ่มเป็นสองพันบาท หลังจากนั้นอาจารย์ท่านหนึ่งก็แนะนำให้ลงทุนแบบ DCA ขั้นต่ำเดือนละ 5,000 บาทอีก ตอนนั้นก็เลือกหุ้มมา 4 ตัว คือ BTS , BDMS , CENTEl , CPN และเพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ 10,000 บาท โดยวางแผนไว้ว่าจะใช้เงินจากพอร์ตนี้หลังอายุ 60ปี หรือหลังไม่อยากทำงานแล้ว

สำหรับมือใหม่อย่าง “ทิพย์” ถือว่าโชคดีมากที่มีพี่ ๆ ที่ใกล้ชิดคอยแนะนำเรื่องการลงทุนในอยู่เรื่อย ๆ แต่ในตอนนั้นเราคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ยากสำหรับเรา จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ได้พบและพูดคุยกับพี่ ๆ อีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน มันกลับเข้าหัวและตั้งใจอย่างบอกไม่ถูก

จึงได้มีโอกาสเข้ามาลงทุนใน Private Fund โดยมีแนวคิดในการซื้อหุ้นที่ดี ในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง โดยใช้โปรแกรมในการเลือกหุ้นแบบ AI (ไม่ได้ใช้คน) เข้ามาช่วยคัดเลือกหุ้นที่ดี ซึ่งการใช้โปรแกรมนี้มีข้อดีคือ จะไม่มีอารมณ์มาเป็นตัวกำหนด แต่จะดูหุ้นที่ดีและราคาเหมาะสมในตอนนั้น แล้วหลังจากเรานำเงินเข้าพอร์ตแล้ว โปรแกรมก็จะทำการซื้อหุ้นให้กับเราโดยกระจายความเสี่ยงซื้อให้ 29-30 ตัว และจะมีการปรับพอร์ตให้ทุกๆ 1 ปี ซึ่งการลงทุนในครั้งนี้ได้วางแผนว่าจะถือยาวเกิน 10 ปี และจะใช้เงินในพอร์ตนี้หลังอายุ 60 ปี หรือหลังไม่อยากทำงานแล้วนั่นเอง

“ทิพย์” เข้ามาลงทุนในหุ้นถือว่าโชคดีมาก ๆ เพราะที่ผ่านมายังไม่เคยขาดทุน เลยยังไม่ได้มีการปรับพอร์ตเก่า มีแต่จะลงเพิ่มเรื่อยๆ แล้วใช้เป็นพอร์ตยามเกษียณ แต่มีความคิดที่จะสร้างพอร์ตใหม่โดยมี 2 เป้าหมาย คือ พอร์ตเกษียณหลังอายุ 40 ปี โดยลงหุ้นตัวใหญ่ 5-6 ตัว และกินปันผล โดยก่อนอายุ 40ปี ต้องมีเงินปันผลเดือนละ 100,000 บาทให้ได้ และพอร์ตที่สร้างเงินสดมาใส่พอร์ตเกษียณต่อ ซึ่งการคัดเลือกหุ้นที่เติบโต และให้เงินก้อนนี้โตขึ้นเรื่อยๆ โดยยอมรับความเสี่ยงสูงได้มากขึ้น

นอกจากนี้แล้ว “ทิพย์” ยังให้ความสำคัญกับการทำประกันสุขภาพ และมีแผนทำประกันเพิ่มโดยให้รักษาครอบคลุม รวมถึงประกันมะเร็ง อุบัติเหตุ และประกันชีวิตด้วย เนื่องจากหากเราวางแผนมาอย่างดีแล้ว เกิดเจ็บป่วยระหว่างทาง จะได้ไม่ต้องนำเงินที่ตั้งใจจะลงทุนมาจ่ายค่ารักษาพยาบาล และไม่อยากเดือดร้อนใคร แต่อยากเตรียมทุกอย่างไว้ให้ครอบครัวมากกว่า

ในอนาคต “ทิตย์” วางแผนว่า “ตอนนี้อายุ 30 ปี ภายในอายุ 40 ปี ต้องการหุ้นดีที่มีปันผลเดือนละ 100,000 บาท สำหรับพอร์ตเกษียณพอร์ตที่ใช้หลังอายุ 60 ปี หรือหลังไม่อยากทำงานแล้ว รวมถึง DCA เดือนละ 10,000 บาทพอร์ตเติบโต คาดหวังผลตอบแทนเฉลี่ย 15% ต่อปี และวางแผนออมเงินเดือน 10% ภายใน 10 ปีสำหรับเงินฉุกเฉิน”

“ทิพย์” ได้บอกเพิ่มเติมอีกว่า การที่เราทำธุรกิจอย่างเดียว อาจทำให้เรามีเงิน ดูแลตัวเองและครอบครัวได้ แต่อาจไม่มากพอที่จะช่วยเหลือสังคมได้ หากเราลงทุนร่วมด้วย แล้วมีเงินแบบ Passive มาอีกทาง เราก็ไม่ต้องเอาเงินที่ได้ ใช้แค่ส่วนตัวกับครอบครัว แต่ยังมีโอกาสได้ช่วยเหลือสังคมอีกด้วย โดยเราไม่ต้องตะขิดตะขวงใจว่า ช่วยสังคมแต่ตัวเองหรือครอบครัวยังไม่มีชีวิตที่ดี รวมถึงหากในอนาคตเราอยากหยุดทำธุรกิจ เราก็ยังมีเงินใช้แบบไม่เครียด แถมมีเวลาเหลือมากมายในการไปช่วยเหลือผู้อื่น หรือทำสิ่งดีๆให้สังคมต่อไป

สุดท้าย “ทิตย์” ฝากถึงนักลงทุนมือใหม่ที่สนใจลงทุนในหุ้นว่า ศึกษาก่อนดีที่สุด ต่อให้เรานับถือใครแค่ไหนบอกว่าหุ้นตัวนี้ดี รีบลงนะเดี๋ยวตกรถ และเราจะอยากลงใจจะขาดก็อยากให้ศึกษาก่อนอยู่ดี ในวันที่ได้เงินจากหุ้น เราอาจจะขอบคุณเขา แต่ถ้าในวันที่เสียเงินจากหุ้น เราก็จะได้ไม่ต้องรู้สึกโทษใคร ดังนั้นควรวิเคราะห์และตัดสินใจให้ถี่ถ้วนด้วยตัวเองก่อนการลงทุน อย่างน้อยที่สุด ถ้าเราได้เงินจากหุ้นให้รู้ว่าเราได้เพราะอะไร ถ้าเราเสียเงินจากหุ้นให้รู้ว่าเราเสียเพราะอะไร ถ้ารู้แบบนี้ได้ครั้งหน้าเราก็จะเก่งขึ้นเรื่อยๆ มากกว่าการถามคนอื่นทุกๆครั้ง หรือมากกว่าการฟลุ๊คเป็นไหนๆ

อ๊ายยยย…ไม่ได้มีดีแค่สวยอย่างเดียวนะคะ แถมเก่งรอบด้านทั้งธุรกิจและการลงทุน ต้องยกนิ้วให้เลยค้าาาา…ไปละบ๊ายยย

Facebook Comments
Skip to toolbar