สื่อนอกบ้าน

 

หนังสืออิป้าหามาเล่าVGI ไม่หวั่นแม้ช่วงที่ผ่านมาธุรกิจได้รับผลกระทบจาก COVID-19 โดยตรง เผยผลการดำเนินงานล่าสุดในไตรมาสที่ 2 ของปี 2563/64 สามารถพาธุรกิจฝ่าวิกฤต COVID-19 ด้วย Ecosystem ที่ครบวงจร นำพาบริษัทฯ พลิกมีกำไรสุทธิที่ 12 ล้านบาท ด้วยรายได้ที่ 717 ล้านบาท โดยในไตรมาสนี้ธุรกิจสื่อโฆษณานอกบ้านมีรายได้ที่ 480 ล้านบาท และธุรกิจบริการด้านดิจิทัลมีรายได้ 237 ล้านบาท ด้าน MACO มีรายได้จากการดำเนินธุรกิจที่ 507 ล้านบาท ลดลง 32.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน มีปัจจัยหลักมาจากการได้รับผลกระทบอย่างมากจากการที่แบรนด์และนักการตลาดชะลอการใช้งบโฆษณา อันเนื่องมาจากผลกระทบที่ยาวนานของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ที่ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่สภาวะถดถอยอย่างรุนแรง จึงทำให้ธุรกิจโฆษณาทั้งในและต่างประเทศได้รับผลกระทบในเชิงลบ ด้วยเหตุนี้ทำให้บริษัทฯ มีผลขาดทุนสุทธิ 161 ล้านบาทในไตรมาสนี้

นายเนลสัน เหลียง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปี 2563 ถือเป็นปีที่หลายธุรกิจ ทั่วโลก รวมทั้งบริษัทฯ เองต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน ทั้งจากเหตุการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาและสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศไทย ที่ส่งผลกระทบทำให้หลายบริษัทลดความต้องการในการใช้จ่ายด้านโฆษณา

ซึ่งสิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับธุรกิจสื่อโฆษณาของ VGI อีกทั้งวิกฤตดังกล่าวยังทำให้บริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากการลงทุนในกิจการร่วมค้าและบริษัทร่วมที่มีสาเหตุหลักจากผลการดำเนินงานของธุรกิจทั้งในและต่างประเทศของ บริษัท มาสเตอร์ แอด จำกัด (มหาชน) จากการบังคับใช้มาตรการที่เข้มงวดของภาครัฐ อาทิ การจำกัดเวลาออกนอกเคหะสถาน การรณรงค์ให้อยู่บ้าน รวมถึงการจำกัดการเดินทางทั้งในประเทศและต่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม VGI ได้มีการปรับตัวอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วจากไตรมาสก่อนหน้านี้ ทำให้สามารถกลับมาฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง ซึ่งส่วนใหญ่มาจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เริ่มกลับสู่สภาวะปกติ อันเห็นได้จากการเพิ่มขึ้นของการจราจรและการที่ผู้คนเริ่มเดินทางกลับมาทำงานที่สำนักงาน ส่งผลทำให้ความต้องการใช้โฆษณาของแบรนด์และนักการตลาดเริ่มเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการใช้จ่ายของผู้บริโภคเองก็มีแนวโน้มที่สูงขึ้นด้วย ยิ่งไปกว่านั้นเพื่อตอบสนองต่อสภาวะเศรษฐกิจที่มีความผันผวน

บริษัทฯ มุ่งเน้นไปที่การบริหารจัดการต้นทุนและจัดสรรค่าใช้จ่ายเพื่อสร้างความแข็งแกร่งของกระแสเงินสด เช่น การลดค่าใช้จ่ายด้านงานซ่อมบำรุงรักษา รวมถึงการเข้าเจรจาขอปรับลดค่าเช่ากับเจ้าของพื้นที่ จากเหตุผลข้างต้นส่งผลให้ภาพรวมผลประกอบการของบริษัทในไตรมาสที่ 2 ปี 2563/64 พลิกกลับมาฟันกำไรสุทธิเป็นบวกได้ในที่สุด แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการควบคุมและบริหารจัดการของบริษัทฯ รวมทั้งความแข็งแรงของทุกหน่วยธุรกิจที่สามารถต่อยอดสร้าง Synergy ร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ VGI สามารถก้าวข้ามผ่านจุดต่ำสุดของผลประกอบการทางการเงินได้เป็นที่เรียบร้อย พร้อมเดินหน้าพาองค์กรฝ่าวิกฤตที่ยากจะคาดการณ์ในครั้งนี้ได้อย่างยั่งยืน

ด้านทิศทางดำเนินงานและพัฒนาการสำคัญของกลุ่มบริษัท

ในไตรมาสนี้ ธุรกิจสื่อโฆษณา บริษัทฯ ร่วมมือกับลูกค้าแบรนด์น้ำแร่มิเนเร่ ปล่อยแคมเปญที่ผสมผสานการใช้สื่อแบบ O2O โซลูชั่นส์ คือออฟไลน์อย่างสื่อนอกบ้านร่วมกับเทคโนโลยีภาพเสมือน (AR Technology) ที่ไม่เพียงสร้าง Engagement เท่านั้น แต่ยังสร้าง Conversion ที่กลับมาเป็นยอดขายให้แก่แบรนด์ได้ด้วย

ด้านธุรกิจบริการชำระเงิน แรบบิท ไลน์เพย์ ร่วมเป็นพันธมิตรกับ eLong International Travel (Hong Kong) Limited หรือ ‘TravelGo.com’ ผู้นำด้านการจองการท่องเที่ยวผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ของจีน เพื่อให้บริการจองการเดินทางและที่พัก ผ่านแรบบิท ไลน์เพย์ ทั้งนี้บัตรแรบบิทยังได้รับรางวัลการันตีความสำเร็จจาก Superbrands Thailand ในฐานะผู้นำการขับเคลื่อนประเทศเข้าสู่สังคมไร้เงินสด ด้วยผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลายครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์การบริโภค สำหรับธุรกิจโลจิสติกส์ เมื่อวันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา Kerry Express ได้ยื่นเรื่องต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญครั้งแรก (IPO) จำนวน 300 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ หุ้นละ 0.50 บาท

บริษัทฯ ไม่เพียงแต่ให้ความสำคัญกับการสร้างผลการดำเนินงานที่ดีเท่านั้น แต่เรายังได้ใส่ใจด้านการสร้างความยั่งยืนแก่สังคม โดยบริษัทฯ ได้ร่วมมือกับ Pomelo แพลตฟอร์มแฟชั่นชั้นนำในรูปแบบ Omni-channel สัญชาติเอเชีย ในการสนับสนุนการสร้างความยั่งยืนให้แก่โลกผ่านโปรเจกต์ “Trash to Treasure” ผ่านการอัพไซเคิลไวนิลจากป้ายโฆษณาที่ใช้แล้วของ VGI นำมาเปลี่ยนใหม่เป็นบรรจุภัณฑ์ของ Pomelo ซึ่งการผสานความร่วมมือระหว่างกันครั้งนี้ ทำให้ VGI ลดปริมาณขยะไวนิลลงได้มากกว่า 3,500 ตารางเมตร หรือ 3.5 ตัน และ Pomelo สามารถลดการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวได้มากกว่า 200,000 ชิ้น

“สำหรับทิศทางการดำเนินงานในอนาคตต่อสถานการณ์ที่ท้ายทายเช่นนี้ บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นที่จะสร้างผลการดำเนินงานที่ดี จากการปรับแผนธุรกิจโดยเน้นการรักษาสภาพคล่องและสร้างเสถียรภาพทางการเงิน เพื่อเตรียมพร้อมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยเราเชื่อว่าโซลูชั่นส์ทางการตลาดที่ครบวงจรแบบ Offline-to-Online (O2O) คือกลยุทธ์ที่แข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพ ผนวกกับแพลตฟอร์มที่หลากหลายของกลุ่มธุรกิจจะสามารถช่วยให้บริษัทฯ ยังคงอยู่ในจุดที่สามารถเติบโตทั้งด้านรายได้ และสร้างผลกำไร ให้แก่ผู้ถือหุ้นและผู้ที่เกี่ยวข้องได้อย่างมั่นคงทั้งในระยะสั้นและระยะยาวได้ต่อไปในอนาคต” กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ กล่าวเพิ่มเติม

ด้านพุน ฉง กิต ประธานกรรมการบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสเตอร์ แอด จำกัด (มหาชน) หรือ MACO เผยว่า ปี 2563 ถือเป็นปีที่ยากลำบากและคาดเดาได้ยากยิ่งสำหรับธุรกิจของบริษัทฯ จากผลการดำเนินงานโดยรวมที่ลดลงนั้น มีสาเหตุหลักมาจากผลกระทบที่มีความยืดเยื้อและยาวนานจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัส ที่เริ่มมาตั้งแต่ต้นปี 2563 ส่งผลให้มีการขยายนโยบายการจำกัดการเดินทาง และมาตรการล็อคดาวน์ในหลายประเทศ ทั้งประเทศไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ซึ่งถือเป็นตลาดหลักของบริษัทฯ

สำหรับสถานการณ์ในประเทศไทยนั้นแม้จะประสบความสำเร็จในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ได้เป็นอย่างดี แต่อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยคาดว่าจะหดตัวลง -7.8% ซึ่งเป็นการเติบโตที่ต่ำที่สุดในอาเซียน

นอกจากนี้ยังมีปัญหาทางการเมืองที่ยังมีความตึงเครียดทำให้แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของประเทศยังมีความไม่แน่นอน ประกอบกับปัจจัยลบต่างๆ ทั้งการปรับลดเม็ดเงินโฆษณาของแบรนด์และกำลังซื้อของผู้บริโภคที่อ่อนตัวลง ทำให้รายได้จากธุรกิจสื่อโฆษณา ลดลง 56.8% YoY มาอยู่ที่ 179 ล้านบาท โดยสื่อโฆษณาในประเทศ ทำรายได้ 122 ล้านบาท ลดลง 52.6% YoY สำหรับ รายได้จากสื่อโฆษณาในต่างประเทศ ลดลง 63.8% YoY คิดเป็น 57 ล้านบาท และงานด้านระบบครบวงจร ทำรายได้ 328 ล้านบาท ลดลง 1.5% YoY

นอกจากนี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้คาดการณ์ GDP ในปี 2563 ของประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซียว่าจะหดตัว -6.0% และ -1.5% ตามลำดับ ทำให้ในไตรมาสนี้ บริษัทฯ บันทึกส่วนแบ่งขาดทุนจากการลงทุนในกิจการร่วมค้าและบริษัทร่วม จำนวน 53 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักมาจากผลกระทบของโรค COVID-19 ที่รุนแรงในตลาดอินโดนีเซีย แต่อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ได้เล็งเห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีในประเทศเวียดนาม ซึ่งมีการเติบโตของ GDP สูงที่สุดในอาเซียนที่ 1.6%

สุดท้ายนี้ถึงแม้ผลการดำเนินงานของ MACO จะได้รับผลกระทบในทางลบจากสถานการณ์ข้างต้น อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ก็จะติดตามสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิด และมุ่งเน้นบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายเพื่อรักษาความมั่นคงทางธุรกิจให้มีกระแสเงินสดที่เพียงพอและมีสภาพคล่องที่ดี เพื่อหนุนการเติบโตอย่างมั่งคงในระยะยาว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวเพิ่มเติม

Facebook Comments