หุ้นพลังงาน

หนังสืออิป้าหามาเล่ามาแล้วค่ะ อิป้าหามาเล่า ก้าวผ่านปี 2564 ก้าวผ่านไตรมาสแรกของปีมาแล้ว 2 เดือนนะคะ ซึ่งการลงทุนในปีนี้ก็ยังต้องจับตาอย่างระมัดระวังต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา และถ้าจะไม่ให้พลาดและเดินทางเส้นทางสู่การลงทุนอย่างไม่ประมาท

ดั๊นเลยต้องไปขอคำปรึกษาจาก บอสวศิน วณิชย์วรนันต์ นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน และประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด ว่า ในช่วง 3 – 4 เดือนนี้การลงทุนในหุ้นจะเป็นอย่างไรกันบ้าง

Sideway-up กรอบ 1470 – 1550

โดยคุณวศินได้ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากๆ ว่าในกุมภาพันธ์ ทิศทางตลาดคาดว่า จะปรับตัว Sideway-up ในกรอบดัชนี 1470 – 1550 โดยที่ภาพรวม ปัจจัยมหภาค (Macro) ยังสนับสนุนความน่าลงทุนของการลงทุนในหุ้นเมื่อเทียบกับตราสารการลงทุนประเภทอื่น แต่การดำเนินนโยบาย Lockdown ในประเทศต่างๆ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ในขณะนี้ ส่งผลต่อการชะลอลงของตัวเลขเศรษฐกิจที่กำลังจะประกาศในระยะต่อไป ซึ่งในระยะสั้นอาจทำให้นักลงทุนเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนบ้าง

ขณะที่ปัจจัยสนับสนุนต่อตลาดหุ้นโลกโดยรวมมาจากเป้าหมายการเร่งฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนของประเทศในยุโรปและสหรัฐฯ ให้ครบ 100% ภายในช่วงกลางปีนี้ ในขณะที่การฉีดวัคซีนแก่ประชาชนในประเทศแถบเอเชียอย่างเพียงพออาจจะต้องใช้เวลาจนกระทั่งถึงช่วงปีหน้า ซึ่งวัคซีนจะช่วยให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะปกติและขยายตัวต่อไป และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกจะช่วยหนุนเอเชียรวมถึงไทยด้วย

เป้าสิ้นปีที่ 1,600 จุด

โดยตลาดคาดการณ์การเติบโตของกำไรของบริษัทจดทะเบียนของไทยปีนี้มีแนวโน้มที่ดี โดยหากการท่องเที่ยวฟื้นตัวได้เร็วก็มีโอกาสที่จะเห็นการเติบโตของกำไรอย่างก้าวกระโดด และทำให้ตลาดสามารถซื้อขายอยู่ได้ในระดับ Valuation ที่สูงได้

นอกจากนี้ แนวโน้มการไหลเข้าของกระแสเงินทุนจากต่างชาติในตลาดเกิดใหม่จากดอลลาร์ที่อ่อนค่า ซึ่งรวมถึงตลาดหุ้นไทย ซึ่งนักลงทุนต่างชาติได้ลดน้ำหนักการลงทุนมาต่อเนื่องกว่า 5 ปี อีกทั้งธนาคารกลางและรัฐบาลของประเทศต่างๆ จะยังคงมาตรการผ่อนคลายทางการเงินและการคลังต่อไป สภาพคล่องที่สูงจากการอัดฉีดสภาพคล่องทั่วโลก และอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ยังต่ำ ทำให้ตลาดหุ้นไทยยังสามารถไปต่อได้ โดย บลจ.มองเป้าสิ้นปีที่ 1,600 จุด

3 ปัจจัยต้องเกาะติด-ติดตาม

ส่วนปัจจัยที่ต้องติดตามคือ 1.ความสามารถในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19ระลอกใหม่ในประเทศต่างๆ ซึ่งหากมีประสิทธิผลและรวดเร็วจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ฐานะทางการเงินและแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในปีนี้ 2.การประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 4 และ 3.การประกาศจ่ายเงินปันผล

สำหรับผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมาจะส่งผลต่อทิศทางการปรับตัวของราคาหุ้นนั้นๆ ในระยะสั้น ยังคงมี Theme การลงทุนในหุ้นกลุ่มที่มี High Potential for Recovery Selective ในกลุ่ม Banking /Energy and Petrochem / Hotel /Healthcare และหุ้นกลุ่ม Quality Growth Selective ในกลุ่ม Utilities/ กลุ่ม Commerce / กลุ่ม Mass Transit/ กลุ่ม Electronics

หุ้นพลังงานคนนิยมมองว่าน่าสนใจเนื่องจากเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้อาจต้องดูปัจจัยพื้นฐานรายตัวด้วย เนื่องจากกลุ่มพลังงานประกอบด้วยหลายกลุ่มอุตสาหกรรมย่อย ซึ่งปัจจัย Demand และ Supply อาจแตกต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลา”

เมื่อมีกูรูชี้ช่องเยี่ยงนี่้ อิป้าเลย ไปเปิด 10 ตัวบิ๊กเบิ้มกลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค (ENERG) พบว่าอัตราผลตอบแทนจากราคาย้อนหลัง ส่วนใหญ่บวกกระจายค่ะ (ขัอมูลราคา ณ วันที่ 17 ก.พ.64)

1.PTT (บมจ.ปตท.) YTD -4.12%
2.PTTEP (บมจ.ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม) YTD +15.01%
3.GULF (บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์) YTD +0.73%
4.OR (บมจ.ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก) นับจาก IPO ยัง +68.05% (ณ วันที่ 18 ก.พ.64)
5.EA (บมจ.พลังงานบริสุทธิ์) YTD +35.03%
6.GPSC (บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่) YTD +7.12%
7.BGRIM (บมจ.บี.กริม เพาเวอร์) YTD +3.09%
8.TOP (บมจ.ไทยออยล์) YTD +13.94%
9.EGCO (บมจ.ผลิตไฟฟ้า) YTD -5.97%
10.RATCH (บมจ.ราช กรุ๊ป) YTD -0.94%

อย่างไรก็ตาม ช่วงไตรมาสแรกการลงทุนในหุ้นก็ยังคงมีความผันผวนอยู่ที่เราจะต้องติดตามสถานการณ์ต่าง ๆ กันอยู่นะคะ เพราะยังมีหลายสภาวะที่ทำให้ตลาดเกิดความอ่อนไหวได้…วันนี้ไปล่ะค่ะ…บ๊ายยยย

Facebook Comments