นางสาวธิดาศิริ ศรีสมิต รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรไทย เตรียมเสนอขายกองทุน RMF น้องใหม่ชื่อว่า กองทุนเปิดเค Property Infra Flexible เพื่อการเลี้ยงชีพ (KPROPIRMF) ที่มีนโยบายลงทุนในหลักทรัพย์หรือตราสารในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มกิจการโครงสร้างพื้นฐานทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศสิงคโปร์ อาทิ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (Property Fund) กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) เป็นต้น โดยเปิดเสนอขายครั้งแรก (IPO) ในระหว่างวันที่ 12 – 20 พฤศจิกายน 2562

นางสาวธิดาศิริกล่าวต่อไปว่า ความน่าสนใจของกองทุน KPROPIRMF นอกเหนือจากเรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษีแล้ว ยังเป็นการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐานทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศสิงคโปร์ ซึ่งสินทรัพย์ประเภทนี้จะสร้างกระแสเงินสดได้อย่างสม่ำเสมอ (Passive Income) โดยผู้จัดการกองทุนจะนำรายได้ที่ได้รับกลับเข้าไปลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อสะสมผลกำไรในระยะยาว

ทั้งนี้ ดัชนี REIT ในไทยและสิงคโปร์มีอัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) ที่ค่อนข้างสูง โดยจากสถิติ 5 ปีย้อนหลัง (2557 – 2562) พบว่า ดัชนีผลตอบแทนรวมของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (PF&REIT Total Return Index) ของประเทศไทยมี Dividend Yield เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 5.60% ต่อปี และดัชนี FTSE ST Real Estate Investment Trusts Total Return SGD ของประเทศสิงคโปร์มี Dividend Yield เฉลี่ยอยู่ที่ 5.64% ต่อปี (ที่มา: Bloomberg 5 พ.ย. 62) นอกจากนี้ กองทุนยังมีความยืดหยุ่นในการกระจายและปรับสัดส่วนการลงทุนได้ตามสภาวะตลาด มุ่งสร้างผลตอบแทนปรับด้วยความเสี่ยง (Risk Adjust Return) เพื่อให้พอร์ตการลงทุนมีเสถียรภาพ

สำหรับตัวอย่างสินทรัพย์ที่กองทุนเข้าไปลงทุน ได้แก่ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ CPN รีเทล โกรท (CPNREIT) ที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทศูนย์การค้าในเครือ CPN Ascendas Real Estate Investment Trust (Ascendas REIT) ที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทธุรกิจเช่าพื้นที่สำนักงานและอุตสาหกรรม ซึ่งเป็น REIT รายแรกและรายใหญ่ที่สุดของสิงคโปร์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (TFFIF) ที่ลงทุนในทรัพย์สินกิจการโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ รวมถึงการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า ทางพิเศษ และท่าอากาศยาน และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางราง บีทีเอสโกรท (BTSIF) ที่ลงทุนในกิจการขนส่งทางรถไฟฟ้า (BTS) สายสีเขียว ซึ่งประกอบด้วย สายสนามกีฬาแห่งชาติ – สะพานตากสิน และ สายหมอชิต – อ่อนนุช อีกทั้งมีโอกาสสร้างรายได้มากขึ้นจากปัจจัยหนุนของรัฐบาลที่มีแผนขยายเส้นทางอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น

“กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในช่วงที่ผ่านมาได้ปรับตัวขึ้นมามาก โดยได้รับอานิสงส์จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกอบกับภาพเศรษฐกิจโลกที่ยังคงชะลอตัวจากประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ส่งผลให้แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งเป็นผลดีต่อการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทนี้ อีกทั้งสินทรัพย์ดังกล่าวยังคงมีรายได้ที่สม่ำเสมอจากค่าเช่า และมีความผันผวนน้อยกว่าหุ้น

โดยการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ของไทยและสิงคโปร์ มีอัตราจ่ายปันผลอยู่ที่ประมาณ 5% ซึ่งสูงกว่าตลาดโดยรวม ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อการเข้าลงทุน อย่างไรก็ตาม ผู้ลงทุนยังคงต้องติดตามประเด็นสงครามการค้า การปรับตัวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล รวมถึงเศรษฐกิจที่อาจจะส่งสัญญาณชะลอตัวมากกว่าที่คาดไว้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อค่าเช่าได้” นางสาวธิดาศิริกล่าว

Facebook Comments