นายจุมพล สายมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด เปิดเผยว่า บลจ.พรินซิเพิล ประเมินทิศทางการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองรีทส์ (REITs) ในประเทศไทยช่วงครึ่งปีหลัง ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดีจากการคาดหวังโอกาสรับผลตอบแทนในรูปเงินปันผลที่อัตราเฉลี่ย 4%-5%

เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนเชิงบวกต่อสินทรัพย์ของกองทุนประเภทดังกล่าว เช่น อุปสงค์ในตลาดอาคารสำนักงานให้เช่าปัจจุบันที่มีอยู่อย่างจำกัด อัตราค่าเช่าพื้นที่และค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ประกอบกับแนวโน้มเศรษฐกิจครึ่งปีหลังยังมีความผันผวนสูงจากการดำเนินนโยบายปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ จะส่งผลให้เกิดกระแสเงินไหลเข้าสู่กอง REITs ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีลักษณะ Yield Play Assets หรือ สินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนจากการจ่ายเงินปันผล

นอกจากนี้ ด้วยราคาสินทรัพย์ของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองรีทส์ (REITs) ที่ปรับลดลงตั้งแต่ในช่วงที่ผ่านมาจากแรงเทขายทำกำไรของนักลงทุน หลังราคาสินทรัพย์ประเภทดังกล่าวได้ปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 20% ซึ่งการปรับฐานดังกล่าวเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตามเชื่อว่าในครึ่งปีหลังราคาสินทรัพย์จะปรับตัวลดลงไม่มากนัก และเป็นโอกาสดีของนักลงทุนที่จะทยอยเข้าลงทุนในกอง REITs ในจังหวะที่ราคาหน่วยลงทุนถูกลง แม้ว่า valuation และราคาของ REITs โดยรวมอาจถือได้ว่าราคาไม่ถูกนัก

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. พรินซิเพิล กล่าวว่า ด้วยมุมมองดังกล่าว จึงแนะนำทยอยเข้าลงทุนในกองทุนเปิด ‘พรินซิเพิล พร็อพเพอร์ตี้ อินคัม พลัส เฮลท์’ หรือ Principal Property Income Plus Health Fund (PRINCIPAL iPROPPLUS) (กองทุนนี้ลงทุนกระจุกตัวในกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ (Property Sector Fund)

ดังนั้นหากมีปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนดังกล่าวผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก) แนะนำให้ลงทุนเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ต ด้วยการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนเป็น 10%-20% ของมูลค่าพอร์ตรวม เพื่อกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนในภาวะที่ตลาดการเงินโลกมีความไม่แน่นอน

โดยกองทุนดังกล่าวเปิดขายหน่วยลงทุนครั้งแรกเมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่ผ่านมา ถือเป็นทางเลือกของนักลงทุนในการรับผลตอบแทนที่ดีและต่อเนื่องในระยะยาว จากการลงทุนในกองทุนรวมหน่วยลงทุนอสังหาริมทรัพย์ พร้อมจุดเด่นเพื่อเพิ่มโอกาสในการมอบสิทธิประโยชน์ความคุ้มครองด้านประกันชีวิตและสุขภาพ (ตามเงื่อนไข)

โดยบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ผู้ลงทุนสามารถได้รับสิทธินี้เมื่อลงทุนในกองทุนตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป จากแผนความคุ้มครองทั้งหมด 5 แผนตามมูลค่าเงินลงทุน เราเชื่อว่ากองทุน PRINCIPAL iPROPPLUS มีนโยบายการลงทุนทีดีเหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะยาวและโอกาสรับผลตอบแทนจากเงินปันผล ในขณะที่ได้รับเพิ่มเติมในสิทธิประโยชน์ความคุ้มครองประกันชีวิตและสุขภาพ

ทั้งนี้ กองทุน PRINCIPAL iPROPPLUS มีนโยบายลงทุนในหลักทรัพย์หรือตราสารหมวดอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ทั้งในและต่างประเทศ โดยใช้กลยุทธ์คัดเลือกสินทรัพย์รายตัวในลักษณะ Bottom-up โดยเฉพาะกลุ่มที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีเครือข่ายผู้จัดการกองทุนของ บลจ. พรินซิเพิล เน้นการศึกษาเชิงลึกเพื่อลงทุนในสินทรัพย์ที่มีคุณภาพดี มีสภาพคล่องเพียงพอ และซื้อขายในราคาที่เหมาะสม

ขณะที่ผลการดำเนินงานกองทุนฯ สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดี โดยให้อัตราผลตอบแทนนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนฯ (1 สิงหาคม 2561 – 30 มิถุนายน 2562) เป็นระยะเวลา 11 เดือน อยู่ที่ 17.81% และในปีนี้จ่ายเงินปันผลแล้ว 2 ครั้ง รวม 0.75 บาทต่อหน่วย โดยครั้งแรกจ่ายในอัตรา 0.25 บาทต่อหน่วย และครั้งที่ 2 จะจ่ายเงินปันผลในวันที่ 7 สิงหาคม 2562 อัตรา 0.50 บาทต่อหน่วย% ต่อปี (Annualized Return)

หากกองทุนจัดตั้งมาแล้ว 1 ปีขึ้นไปเกณฑ์มาตรฐานที่ใช้ : SETPFUND TRI Index 50.00% + FSTREI TRI Index (THB) 50.00% (source: MorningStar Direct ณวันที่ 30 มิถุนายน 2562) ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต การวัดผลการดำเนินงาน จัดทำตามมาตรฐานการวัดผลการดำเนินงานของสมาคมบริษัทจัดการลงทุน

Facebook Comments