ช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา อิป้ามีโอกาสได้ไปร่วมงานเลี้ยง Welcome CSI รุ่นที่ 25 (อิป้าเรียนอยู่รุ่น CSI24) ของสถาบันนักลงทุน CSI และในวันนั้น “เฮียเหลียน – เจี๊ยนเฟิง เหลียน รองนายกสมาคม ธุรกิจยุคใหม่ไทย-จีน” ได้มาเป็น guest ให้มุมมองการลงทุนหุ้นจีน และวิเคราะห์เศรษฐกิจโลก และได้ฟัง “เฮียเหลียน” ผ่านทางออนไลน์อีกรอบ ใน CSI Exclusive Seminar
“เฮียเหลียน” บอกว่า ภาพรวมตลาดหุ้นจีนในปีนี้ปรับตัวขึ้นมาแล้วกว่า 20% ทำให้หลายคนตั้งคำถามว่า ตลาดยังน่าสนใจหรือไม่ ซึ่ง “เฮียเหลียน” บอกว่า โอกาสในการสร้างกำไรหลายเท่าตัวนั้นลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับช่วงที่รัฐบาลจีนเคยอนุญาตให้กู้เงินมาซื้อหุ้นได้ สถานการณ์โลกที่เปลี่ยนไปมาก รวมถึงความกังวลเรื่องสงครามที่ยืดเยื้อ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดมีความท้าทายมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม หากเป็นนักลงทุนสาย VI (Value Investor) ที่สามารถถือยาวได้ ก็ยังสามารถลงทุนได้ แต่ตัวเลือกของหุ้นอาจมีน้อยลงเนื่องจากบางตัวมีราคาสูงไปแล้ว นอกจากนี้ หากตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีการปรับฐานลงมา ก็จะส่งผลกระทบไปทั่วโลก
ช่วงเวลานี้ยัง “ไม่ค่อยเหมาะ” สำหรับการลงทุนในหุ้นเพื่อหวังผลตอบแทนหลายเท่าตัว และยังไม่เห็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าจุดต่ำสุดของตลาดจะอยู่เมื่อใด
สงครามการค้าและเศรษฐกิจโลก: ผลกระทบที่ซับซ้อน นโยบายการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาลชุดปัจจุบัน ถูกมองว่าเป็นเครื่องมือในการ “แก้ปัญหาภายในประเทศของเขาเอง” ไม่ว่าจะเป็นการสร้างงาน หรือการผลักดันแรงงานผิดกฎหมายออกไป
ซึ่งการขึ้นภาษีไม่ได้แก้ปัญหาการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ อย่างแท้จริง เพราะปัญหาหลักอยู่ที่ “พฤติกรรมการบริโภค” ของชาวอเมริกัน และแม้ว่าประเทศต่างๆ เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย จะยอมเปิดให้สินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เป็น 0% แต่ประเทศเหล่านี้ก็ไม่มี “กำลังซื้อ” มากพอที่จะทำให้การค้าระหว่างกันสมดุลได้ ในที่สุด สิ่งเหล่านี้จะนำไปสู่การ “หดตัว” ของการบริโภคทั่วโลก ซึ่งเริ่มเห็นได้ชัดแล้ว เช่น โกดังให้เช่าในจีนเหลือเพียง 30% และบางแห่งกำลังจะปิดตัว
สำหรับประเทศไทย มองว่า แม้เราจะเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ อย่างมากและต้องยอมประนีประนอมในเรื่องภาษี แต่ “อำนาจการต่อรอง” ของไทยนั้น “น้อยกว่า” เนื่องจาก “การเมืองของเราไม่นิ่ง” นอกจากนี้ การท่องเที่ยวซึ่งเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจไทยก็ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ไม่ดี และจีนเองก็ส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศมากขึ้น สินค้าเกษตรของไทยก็เผชิญการแข่งขันด้านราคาจากสหรัฐฯ ซึ่งอาจเสนอราคาที่ถูกกว่าจากการที่พันธมิตรของสหรัฐฯ ยอมรับการนำเข้าแบบปลอดภาษี
สถานการณ์ทางการเมืองของจีน: สีจิ้นผิงกับอำนาจเบ็ดเสร็จ การมีผู้นำที่มีอำนาจ “เบ็ดเสร็จ” และนโยบายที่ “ต่อเนื่อง” เป็นสิ่งสำคัญต่อการพัฒนาประเทศในระยะยาว ดังเช่นกรณีของสิงคโปร์ อย่างไรก็ตาม อำนาจของสีจิ้นผิงในจีนนั้น “เบ็ดเสร็จมาก” และมีการออกกฎระเบียบเข้มงวดเพื่อควบคุมพฤติกรรมของข้าราชการ รวมถึงการห้ามรับประทานอาหารหรูหรา ซึ่งส่งผลกระทบต่อธุรกิจร้านอาหารและสินค้าฟุ่มเฟือยในจีน ทำให้เศรษฐกิจภายในประเทศจีนไม่ได้ดีขึ้นทั้งหมด แต่ดีในบางส่วนเท่านั้น
เจาะลึกรายหุ้นและกลุ่มอุตสาหกรรมน่าสนใจ:
• BYD (รถยนต์ไฟฟ้า): เผชิญปัญหาหนี้และสต็อกบวม ทำให้ต้อง “ดัมพ์ราคา” ทั้งในและต่างประเทศ รัฐบาลจีนเองก็ออกมากำชับไม่ให้ดัมพ์จนขาดทุน ราคาหุ้นของ BYD และหุ้นจีนโดยทั่วไปมักถูกขับเคลื่อนด้วย “อารมณ์ตลาด” มากกว่ายอดขายหรือมูลค่าที่แท้จริง
• ตลาดหุ้นฮ่องกง: ยังคงมีความกังวลถึงผลกระทบจากการปรับฐานของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่จะส่งผลให้ตลาดทั่วโลกลงตามไปด้วย
• ไป่ตู้ (Baidu): มองเห็นศักยภาพในธุรกิจ AI และ Robotaxi ไป่ตู้เป็นหนึ่งใน 6 บริษัท AI ชั้นนำของจีน มีระบบนิเวศ AI ที่ครบวงจร รวมถึงการพัฒนาชิป AI และการบริหารจัดการข้อมูล ล่าสุดได้ร่วมมือกับ Uber ในโครงการ Robotaxi ซึ่งคาดว่าจะขยายไปทั่วโลกและทำให้หุ้นไป่ตู้ในสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น อย่างไรก็ตาม บางส่วนและกองทุนส่วนใหญ่ยังไม่ชื่นชอบหุ้นตัวนี้ โดยมองจากปัญหาของธุรกิจ Search Engine เดิม
• กลุ่ม Biotech: เป็นกลุ่มที่มีอนาคตดี แต่หุ้นหลายตัวได้ “ขึ้นมาเกือบเท่าตัว” แล้ว จึงต้องระมัดระวังในการเข้าลงทุน
• กลุ่มเทคโนโลยีป้องกันตัวและสุขภาพ (Health/Safety Technology): เป็น “ธีมใหญ่” ในอนาคต ตัวอย่างเช่น Smartwatch ที่ตรวจสอบสุขภาพ (ความดัน, อัตราการเต้นของหัวใจ, ออกซิเจน), อุปกรณ์ตรวจน้ำตาลแบบฝังตัว, ระบบความปลอดภัยสำหรับผู้สูงอายุ (ป้องกันการล้ม) และอุปกรณ์ติดตามเด็ก เทคโนโลยีเหล่านี้จะใช้ AI เข้ามาช่วย และราคาในจีนถูกกว่าของตะวันตกมาก กล้องวงจรปิดในจีนมีการติดตั้งอย่างแพร่หลายโดยหลายหน่วยงาน แม้ข้อมูลจะยังไม่ถูกแชร์กันอย่างสมบูรณ์
• หุ้นโรงเรียน (6169): มี Valuation ที่ “ถูกมาก” แต่ส่วนตัวยังคงชอบหุ้นเทคโนโลยีหรือหุ้นปันผลมากกว่า เนื่องจากหุ้นกลุ่มนี้ “ไม่มีคนเล่น” มาก
• Trip.com: โมเดลธุรกิจดี แต่การท่องเที่ยวเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น และได้รับผลกระทบจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ แนะนำให้ลงทุนในกลุ่มที่จำเป็น เช่น โรงไฟฟ้า หรือประกันชีวิต ที่มีปันผลดี
• อสังหาริมทรัพย์จีน: โดยรวมแล้ว “ไม่ดี” โดยเฉพาะกลุ่ม Developer และที่อยู่อาศัย แต่ “แหล่งท่องเที่ยว” หรือ “ธุรกิจบริหารจัดการ” อสังหาริมทรัพย์ยังคงดีอยู่
• หุ้นสหรัฐฯ: หุ้นขนาดใหญ่และดีอย่าง Nvidia น่าสนใจ แต่ Tesla อาจมีความเสี่ยงจากการที่ Elon Musk เข้าไปเล่นการเมือง
• หุ้นประกันภัยจีน : ยังคงมีราคาที่ “ถูกมาก” (P/B ประมาณ 0.4, P/E ประมาณ 4 เท่า) และมีปันผลที่ดี เหมาะสำหรับการสะสมระยะยาว
• Remegen (1177): หุ้นไบโอเทคที่มีข่าวดีเรื่องยารักษา แต่ “ขึ้นมาเกือบเท่าตัว” แล้ว จึงไม่ใช่จุดเข้าลงทุนที่ดีในตอนนี้ แนะนำให้รอจังหวะที่ราคาปรับฐานหรือหาหุ้นตัวอื่นที่ยังไม่ขึ้น
• WuXi Biologics (2269): เป็นหุ้นที่ดีมาก และเป็น “เบอร์ 1” ในการวิจัยยาชีวภาพ หากราคาย่อตัวลงมาจะน่าสนใจมากสำหรับการถือยาว
กลยุทธ์การลงทุนของเฮียเหลียน:
• เลือกหุ้น “เบอร์ 1” หรือ “เบอร์ 2” ในอุตสาหกรรม
• ซื้อหุ้นที่ “อยู่ข้างล่าง” หรือยังไม่วิ่ง และมี Downside ต่ำ
• มีความอดทนและ “รอ” จังหวะที่เหมาะสม บางครั้งต้องติดตามหุ้นเป็น “2 ปี” ก่อนตัดสินใจซื้อ
• เน้น “กำไรหุ้น” ในช่วงตลาดขาลง โดยการขายหุ้นที่ราคาแพง แล้วซื้อกลับมาเมื่อราคาถูกลงเพื่อเพิ่มจำนวนหุ้น
• เชื่อว่าราคาหุ้นถูกขับเคลื่อนด้วย “อารมณ์ตลาด” มากกว่าปัจจัยพื้นฐานเพียงอย่างเดียว
• สำหรับนักลงทุนรายย่อย แนะนำให้เน้นลงทุนใน “5-10 ตัว” ที่รู้จักดีและติดตามได้อย่างใกล้ชิด ดีกว่ากระจายความเสี่ยงในหลายสิบตัว
• หากต้องการความปลอดภัยสูง ควรลงทุนในหุ้นกลุ่มที่จำเป็นและมีปันผลสูง เช่น โรงไฟฟ้า หรือประกันภัย
#CSI #หุ้นจีน #หุ้นโลก #สงครามการค้า #อิป้าหามาเล่า #เฮียเหลียน #เจี๊ยนเฟิงเหลียน #หุ้น
