epahamalao

NRF มีอะไรดี ทำไม? PTT ถึงอยากร่วมทุน

PTT

มาแล้วค่ะ อิป้าหามาเล่า ต้องยอมรับว่าช่วงโควิด-19 ระลอก 3 ที่ผ่านมา หลาย ๆ บริษัทในตลาดหุ้นไทยบ้านเราดูจะได้รับผลกระทบไปตาม ๆ กัน ซึ่งหุ้น NRF (บมจ.เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์) ก็เช่นกัน ยิ่งช่วงค่าเงินบาทแข็งค่าด้วยแล้วไม่ต้องพูดถึงก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อหุ้นตัวนี้่ด้วย เพราะว่า NRF ส่วนใหญ่แล้วประมาณ 80% จำหน่ายผลิตภัณฑ์ปรุงรสอาหาร อาหารสำเร็จรูป ส่งออกไปยังต่างประเทศนั่นเองค่ะ แต่ก็ถือว่าเป็นผลกระทบในช่วงระยะสั้น ๆ เท่านั้นนะคะ

แต่หลังจากนี้ เราจะเห็นได้ว่า NRF เองมีการทำการตลาดในประเทศเพิ่มมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นธุรกิจกัญชงที่ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยขอนแก่นพัฒนาการปลูกและสกัดน้ำมันกัญชง (CBD) รวมถึงเตรียมความพร้อมเปิดธุรกิจแฟรนไชส์ Hemp House ผ่านโกลเด้น ไตรแองเกิล เฮลท์ หรือ GTH ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ เพื่อผลักดันผลการดำเนินงานในปี 2564 ให้มีการเติบโตมากยิ่งขึ้น โดยการประเดิมเปิดร้านแฟรนไชส์สายเขียว HEMP HOUSE สาขาแรกที่เอ็มควอเทียร์ วางเป้าหมาย 3 ปี (2565-2567) เปิดให้ได้ 1,000 สาขา โดยชูเป็น “คาเฟ่สายเขียว” นั่นเอง

นอกจากนี้ NRF ยังได้ร่วมทุน ในบริษัท Botany Petcare จำกัด เข้าถือหุ้น 66.7% หรือคิดเป็นมูลค่า 36 ล้านบาท ผ่านทางบริษัท ซิตี้ฟูด จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ NRF ปัจจุบันได้เริ่มดำเนินการเปลี่ยนโรงงานผลิตน้ำเต้าหู้เดิมภายใต้แบรนด์ชินโป มาเป็นโรงงานผลิตอาหารทานเล่นสัตว์เลี้ยง คาดธุรกรรมจะเสร็จสิ้นในช่วงต้นไตรมาส 4/2564 ซึ่งจะช่วยให้บริษัทฯ สามารถใช้ประโยชน์สูงสุดจากที่ดิน โรงงาน และ ระบบสาธารณูปโภคที่โรงงานในจ.ราชบุรี ซึ่งเป็นโรงงานเดิมที่ซิตี้ฟูดมีอยู่

นอกจากนี้ NRF นำ บริษัท เอ็นอาร์เอฟ คอนซูเมอร์ จำกัด (NRF Consumer) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ เข้าลงทุนในบริษัท อินดีม กรุ๊ป จำกัด (INDEEM) ผู้ประกอบธุรกิจ Network Marketing เพื่อขยายช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านออนไลน์แฟลตฟอร์ม INDEEM Universal E-Commerce Platform ที่นำเสนอนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายผ่านการสร้างเครือข่ายผู้บริโภคสร้างยอดขายจากผลิตภัณฑ์กลุ่มสกินแคร์ กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเสริม และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ที่มีส่วนผสมจากสารสกัดน้ำมันกัญชง (CBD) เป็นรายแรกในประเทศ ซึ่งการรวมกันในครั้งนี้ จะทำให้ INDEEM เป็นบริษัท Network Marketing ชั้นนำของโลกได้ นอกจากนี้ยังมีช่องทางการจำหน่ายในสหรัฐฯ บริษัทจัดจำหน่ายผ่านช่องทาง E-Commerce บนแพลตฟอร์ม Amazon.com อีกด้วย

ล่าสุด บมจ.ปตท.หรือ PTT ให้ บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด (Innobic) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ PTT ถือหุ้น 100% จัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับบริษัท โนฟ ฟู้ดส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ NRF โดย Innobic และ โนฟ ฟู้ดส ถือหุ้นในสัดส่วนที่เท่ากัน 50% เพื่อดำเนินธุรกิจโปรตีนทางเลือก พร้อมจัดตั้งโรงงานผลิตที่ใช้เทคโนโลยีนำเข้าชั้นสูงในไทย ด้วยกำลังการผลิต 3,000 ตันต่อปี รวมไปถึงการพัฒนาร้านค้าต้นแบบ

สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2564 (กรกฎาคม-กันยายน) NRF มีรายได้จากการขาย 516 ล้านบาท เติบโต 15.1% เมื่อเทียบกับ Q3/63 และ 36.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้จากการขาย 378 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการรับรู้รายได้จากบริษัท City Food และกลุ่มบริษัท Boosted NRF Corporation อาทิ SOL Trading ที่รับรู้รายได้เข้ามาเต็มไตรมาส, โครงการ WellPath ที่ทยอยรับรู้รายได้ในช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา และเริ่มรับรู้รายได้จากบริษัท Indeem Group รวมถึงการรับรู้ค่าตอบแทน (Royalty) และรายได้อื่นที่เพิ่มขึ้น ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา

สำหรับผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนแรกของปี 2564 (มกราคม-กันยายน) บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 1,436 ล้านบาท เติบโต 47.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้ 971 ล้านบาท โดยรายได้ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาจากกลุ่มผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้าของบริษัทฯ ในทุกประเภทสินค้า และมีคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นจากลูกค้ารับจ้างผลิตรายใหญ่ในทวีปอเมริกาเหนือและยุโรป รวมถึงยังรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากบริษัท City Food และธุรกิจ E-commerce ซึ่งเป็นรายได้ภายใต้ตราสินค้า Prime Labs, SOL Trading, WellPath และ Indeem Group และรายได้อื่นๆ

สำหรับโครงสร้างรายได้ในงวด 9 เดือนแรกของปี 2564 มีสัดส่วนรายได้มาจากกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารไทยและอาหารท้องถิ่น (Ethnic Food) 81% ผลิตภัณฑ์อาหารโปรตีนจากพืช (Plant-based Food) 4% ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน (Functional Products) 3% และธุรกิจ E-Commerce Platform คิดเป็นสัดส่วน 12% ทั้งนี้ NRF มุ่งเน้นการสร้างแพลตฟอร์ม E-commerce และการเข้าซื้อกิจการที่เป็นผู้นำตลาด โดยในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เข้าลงทุนในบริษัท Indeem Group จำกัด ที่มีรายได้หลักอยู่ภายในประเทศ

นอกจากนี้ ในส่วนกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติของ NRF ทำได้ 178 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 167 ล้านบาท ในส่วนของ EBITDA อยู่ที่ 307 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 228 ล้านบาท ขณะที่อัตรากำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติ ทำได้ 11.8% ลดลงเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุมาจากการรับรู้ส่วนแบ่งผลขาดทุนที่เพิ่มขึ้นจากบริษัท Plant And Bean Ltd.
ขณะที่โรงงานใหม่ได้รับอนุญาตจาก British Retail Consortium (BRC) ในเดือนกันยายน 2564 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงทำให้อัตรากำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติลดลงจากปีก่อน ประกอบกับมีค่าใช้จ่ายด้านการขายและการบริหารที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจ E-commerce อย่างไรก็ตาม NRF ยังได้รับประโยชน์จากการเข้าซื้อกิจการบริษัท Boosted NRF Corp. ซึ่งธุรกิจ E-commerce จะมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่า รวมถึงได้รับผลดีมาจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง

สำหรับราคาล่าสุด 9 ธ.ค.64 ปิด 8.05 บาท ผลตอบแทนราคา YTD 35.04% PE 94.49 เท่า P/BV 4.18 เท่า มีมาร์เก็ตแคป 11,412.12 ล้านบาท ซึ่ง ณ วันที่ 30 ก.ย.64 ROA 5.89% ROE 6.05% อัตรากำไรสุทธิ 6.62% ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 5 อันดับแรก 1.บริษัท เอเชี่ยน ฟู้ด คอร์ปอร์เรชั่น จำกัด 447,133,180 หุ้น หรือ 31.71% 2.DP Partners Limited 177,663,720 หุ้น หรือ 12.60% 3.DPA Fund S Limited 115,202,241 หุ้น หรือ 8.17% 4.บริษัท เอเชี่ยน ฟู้ด คอร์ปอร์เรชั่น จำกัด (สำนักงานใหญ่) 102,400,000 หุ้นหรือ 7.26% และ 5.บริษัท ดุสิต ฟู้ดส์ จำกัด 70,736,353 หุ้น หรือ 5.02%

อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ต้องจับตาดูว่า NRF เมื่อมือกับ PTT และหันมารุกตลาดในประเทศมากขึ้นจะทำให้การเติบโตของบริษัทมีความแข็งแกร่งมากแค่ไหน วันนี้ไปล่ะค่ะ…บ๊ายยยย

Facebook Comments
Skip to toolbar