นางยูกิโกะ โรเบิร์ตส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอสบีไอ ไทย ออนไลน์ จำกัด หรือ SBITO เปิดเผยว่า 5 ปี ที่บริษัทฯ เปิดดำเนินธุรกิจให้บริการนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์แบบออนไลน์อย่างแท้จริงเป็นรายแรกของประเทศไทย ทำให้นักลงทุนได้รับความสะดวกสบายจากบริการของบริษัทฯ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นที่สามารถเปิดแบบออนไลน์ได้ทั้งหมด

โดยบริษัทฯ เป็นผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-Bank) รายแรกที่เปิดให้บริการนี้ หรือด้านการโอนเงินให้กับลูกค้า ซึ่งบริษัทฯ สามารถทำได้ทันที ในขณะที่โดยทั่วไปอาจใช้เวลาเป็นวัน รวมถึงบริการซื้อขายหุ้นของบริษัทฯที่สะดวก รวดเร็ว ทันสมัย นักลงทุนสามารถลงทุนได้ทุกที่ทุกเวลา ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของนักลงทุนยุคดิจิทัลเป็นอย่างดี

นอกจากบริการดังกล่าวนักลงทุนที่เป็นลูกค้าของบริษัทฯ ยังสามารถใช้เครื่องมือด้านการลงทุนที่ครบครันนอกเหนือจากเครื่องมือแบบพื้นฐานอย่าง Streaming ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายแล้ว บริษัทฯ ยังมี SBITrade AI เครื่องมือช่วยค้นหาโอกาสการลงทุนในหุ้นคุณภาพ โดย SBITrade AI จะทำการวิเคราะห์หุ้นทุกตัวทั้งตลาดอย่างละเอียด จากข้อมูลย้อนหลัง 5 ปี ในทุกๆ วัน โดยอัตโนมัติ และนำเสนอหุ้นที่มีคุณภาพดีที่สุด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำกำไรในการบริหาร Portfolio ให้กับลูกค้าด้วยระบบ AI (Artificial Intelligence) และ Data Mining ที่ออกแบบมาด้วยความเข้าใจจากผู้ที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์

ซึ่ง SBITrade AI นั้น ได้ทำการทดสอบจากข้อมูลการลงทุนย้อนหลังถึง 10 ปี สามารถสร้างผลกำไรเฉลี่ย +33% ต่อปี โดยเครื่องมือดังกล่าวสามารถวิเคราะห์ได้ทั้งแบบเชิงปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) ช่วยวิเคราะห์งบดุลของบริษัทจดทะเบียนและข่าวที่เกิดขึ้นกับบริษัทจดทะเบียนได้ รวมไปถึงครอบคลุมการวิเคราะห์เชิงเทคนิค (Technical Analysis) สามารถดูกราฟย้อนหลังได้ 10 ปี ทั้งนี้ SBITrade AI จะแปลงข้อมูลออกมาเป็น Fundamental Score และ Technical Score ซึ่งเป็นคะแนนเชิงคุณภาพของหุ้น และจะแสดงผลการตรวจสุขภาพทางการเงินและประสิทธิภาพการทำกำไรอย่างละเอียดของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯอีกด้วย

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอสบีไอ ไทย ออนไลน์ จำกัด หรือ SBITO กล่าวเพิ่มเติมว่า “นอกจากจะให้การสนับสนุนด้านเครื่องมือเทคโนโลยี AI ที่ทันสมัยแก่นักลงทุนไทยแล้ว บริษัทฯ ยังเล็งเห็นความสำคัญของเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยเฉพาะสินค้าโภคภัณฑ์ ประเภทยาง ที่ปัจจุบันนี้การซื้อขายค่อนข้างซบเซา

แม้ว่ายางนั้นเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย แต่การซื้อขายสินค้ายางล่วงหน้านี้ กลับไปอยู่ที่ตลาดโตคอม (TOCOM) ประเทศญี่ปุ่น และล่าสุดก็มีการเปิดตลาดซื้อขายยางล่วงหน้าที่ประเทศจีน บริษัทฯ จึงเตรียมแผนนำแพลทฟอร์มซื้อขายด้านสินค้าโภคภัณฑ์ที่เร็วที่สุดในโลก และเชื่อถือได้ เป็นที่ยอมรับทั่วโลก มาใช้ที่ประเทศไทย เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนไทย”

ในด้านการแข่งขันของธุรกิจหลักทรัพย์นั้น นางยูกิโกะ มองว่า มีการแข่งขันค่อนข้างสูงมาก จะเห็นได้ว่าหลายๆบริษัท พยายามที่จะลดราคาค่าธรรมเนียมลง นำเสนอบริการด้วยเครื่องมือต่างๆให้แก่นักลงทุน ในขณะที่บริษัทฯนั้นมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำอยู่แล้ว แต่สิ่งที่บริษัทฯมีความโดดเด่นคือ การสนับสนุนจากบริษัท SBI Group อันเป็นบริษัทแม่ของ SBITO ที่ปัจจุบันคือโบรกเกอร์ออนไลน์อันดับหนึ่งจากประเทศญี่ปุ่น และมีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาแพลทฟอร์มการลงทุนใหม่ๆ รวมทั้งความร่วมมือกับบริษัทด้านฟินเทค (FinTech) หรือกลุ่มธุรกิจที่ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเข้ามาทำให้การบริการที่เกี่ยวข้องกับการเงินและการลงทุนในต่างประเทศที่ SBI Group ได้ลงทุนและมีความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีสูง มีความสามารถที่จะให้บริการด้านเทคโนโลยีขั้นสูง ตอบโจทย์การลงทุนในทุกๆด้าน ยกตัวอย่างเช่น การส่งคำสั่งซื้อด้วยเสียงสำหรับบุคคลที่มีความบกพร่องทางสายตา

อีกทั้งบริษัทฯ ยังพร้อมที่พร้อมสร้างพันธมิตรทางธุรกิจใหม่ใน 3 ด้านหลักคือ ด้านการเงิน ด้านไลฟ์สไตล์ และด้านดิจิทัล เพื่อสร้างระบบนิเวศน์การลงทุน (Investment Ecosystem) ที่ตอบโจทย์ทุกๆด้านของการเป็นแพลทฟอร์มการลงทุนยุคดิจิทัล ที่ไม่ได้ให้แค่ผลกำไร แต่ต้องครอบคลุมทุกด้านในการใช้ชีวิตของลูกค้า เกิดฟันเฟืองในการลงทุนที่สามารถสร้างความยั่งยืนในด้านการลงทุนให้กับสังคมดิจิทัลในประเทศไทย

ล่าสุดทางบริษัทฯ ได้มีความร่วมมือกับ TrueYou ในการมอบสิทธิประโยชน์ให้กับลูกค้าของทรู และลูกค้าของบริษัทฯ รวมถึงเป็นการขยายฐานลูกค้าใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นด้วย โดยความร่วมมือที่เกิดขึ้นนี้ บริษัทมองว่าเป็นผลดีให้กับลูกค้าของทั้งสองฝ่าย และยังเป็นการสนับสนุนการดำเนินงานของบริษัทอีกด้วย ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการร่วมมือกับบริษัทใดก็ตาม SBITO ยังเปิดโอกาสทางธุรกิจนี้เสมอ เพราะการร่วมมือเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับทั้งสองฝ่ายเช่นกัน

สำหรับเป้าหมายการดำเนินธุรกิจของ บริษัทหลักทรัพย์ เอสบีไอ ไทย ออนไลน์ จำกัด หรือ SBITO นั้น ยังคงมุ่งมั่นที่จะเติบโตไปกับสังคมยุคดิจิทัลของประเทศไทย โดยจะยังคงเป็นโบรกเกอร์ออนไลน์อันดับหนึ่งที่นักลงทุนไทยชื่นชอบ พร้อมเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals) สร้างสังคมการลงทุนดิจิทัลตั้งแต่นักลงทุน ระบบเครื่องมือสนับสนุนในการลงทุน เทคโนโลยีสนับสนุนการบริการด้านการลงทุน เพื่อช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตแบบยั่งยืน

ในเร็วๆนี้บริษัทฯ มีแผนที่จะเปิดให้บริการใหม่ ซึ่งสอดรับกับการปรับเกณฑ์ล่าสุดของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่เอื้อด้านเงินทุนไหลออกและลดแรงกดดันต่อค่าเงินบาท ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ การลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศของนักลงทุนรายย่อยให้ลงทุนเองได้

โดยเพิ่มวงเงินรวมสำหรับการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศที่จัดสรรให้นักลงทุนรายภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็น 1.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี เพื่อรองรับการออกไปลงทุนในต่างประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยให้การลงทุนใน หลักทรัพย์ต่างประเทศมีความสะดวกมากขึ้น

“บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าด้วยการลงทุนในยุคดิจิทัล บริษัทฯสามารถมอบประสบการณ์ด้านการลงทุนแบบไร้รอยต่อ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของนักลงทุนยุคดิจิทัลที่มีความต้องการแตกต่างกันได้ครบถ้วน พร้อมเทคโนโลยีที่จะมาช่วยสนับสนุนด้านการลงทุนแก่นักลงทุน ซึ่งเป็นรากฐานของสังคมการลงทุนยุคดิจิทัล รวมถึงเทคโนโลยีระดับโลกต่างๆที่บริษัทฯสามารถเข้าถึง นำมาประยุกต์กับการซื้อขายผลิตภัณฑ์ทางการลงทุนต่างๆในประเทศไทย ช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจของประเทศไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน” นางยูกิโกะกล่าว

Facebook Comments