ฐิภา นววัฒนทรัพย์

มาแล้วค่ะ อิป้าหามาเล่า ช่วงนี้ราคาทองร้อนแรงปรอทแตกเหลือเกินนะคะ ดั๊นเลยรีบนำบทวิเคราะห์ของ คุณมล – ฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) เกี่ยวกับทิศทางทองในครึ่งปีหลังมานำเสนอเลยค่ะ

ปล.สำหรับมือใหม่นะคะ Stop Loss หมายถึง การหยุดเพื่อไม่ให้ ราคาหลักทรัพย์ในพอร์ตลดลงไปมากกว่านี้ ซึ่งขณะที่ทำการ Stop loss นั้น นักลงทุนอาจขาดทุน หรือได้กำไรอยู่ในขณะที่ขายก็ได้ แต่ขายออกไปเพื่อป้องกันไม่ให้กำไรลดลงกว่าที่เป็น หรือขาดทุนมากยิ่งขึ้น

นักลงทุนควรมีจุดตัดขาดทุน

ช่วงนี้แนะนําให้รอจังหวะเข้าซื้อเก็งกําไรระยะสั้น บริเวณแนวรับ 1,847 – 1,831 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อย่างไรก็ตามนักลงทุนควรมีจุดตัดขาดทุนหากราคา 1,831 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เมื่อราคาทองคําขึ้นทดสอบแนวต้าน 1,866 – 1,873 ดอลลาร์ต่อออนซ์ นักลงทุนที่มีทองคําในมือ อาจขายบางส่วนหากราคาไม่ผ่านบริเวณแนวต้าน แต่หากสามารถผ่านไปได้ให้รอไปขายบริเวณแนวต้านถัดไป

หนังสืออิป้าหามาเล่าไม่แนะนำให้นักลงทุนไล่ราคา

จากปัจจัยทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐานในระยะยาวที่ยังคงสดใส YLG จึงประเมินว่า ราคาทองคำยังมีโอกาสไปต่อได้ เพียงแต่ในระยะสั้นราคาอาจเผชิญแรงขายทำกำไรสลับออกมาเป็นระยะ ประกอบกับราคาทองคำปรับตัวขึ้นมาอยู่ในระดับสูง ดังนั้นจึงไม่แนะนำให้นักลงทุนไล่ราคา

สำหรับนักลงทุนที่ถือทองคำไว้ แนะนำแบ่งทองคำออกขายทำกำไร เมื่อราคาปรับตัวขึ้นเข้าใกล้แนวต้านบริเวณ เพื่อลดความเสี่ยง โดยหากราคาผ่านได้สามารถชะลอการขายไปที่แนวต้านถัดไป และควรติดตามการเคลื่อนไหวของราคาอย่างใกล้ชิด พร้อมตั้งจุดทำกำไรจุดตัดขาดทุนเพื่อเป็นการวางแผนการลงทุนล่วงหน้า

าคาทองคำครึ่งปีหลังปี 63

ราคาทองคำในช่วงที่เหลือของปีนี้ยังมีแนวโน้มสดใสท่ามกลางปัจจัยพื้นฐานที่สนับสนุนราคาทองคำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่เศรษฐกิจทั่วโลกเข้าสู่สภาวะถดถอยหลังการระบาดของ COVID-19 ซึ่งกระตุ้นให้รัฐบาลและธนาคารกลางทั่วโลกต้องเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งทางการเงินและการคลัง นำโดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเหลือ 0.00-0.25%

ซึ่งช่วยลดต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ได้ให้ผลตอบแทนในรูปแบบของดอกเบี้ยพร้อมดำเนินมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) แบบไม่จำกัดวงเงิน นอกจากนี้การดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทางการคลังจากรัฐบาลประเทศต่าง ๆ ยังส่งผลให้เกิดการขาดดุลงบประมาณมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนราคาทองคำในระยะยาวเช่นกัน

ไม่เพียงเท่านั้นสงครามการค้าสหรัฐจีนที่มีแนวโน้มยืดเยื้อ แม้ทั้ง 2 ประเทศจะลงนามในข้อตกลงการค้าเฟส 1 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่การระบาดของ COVID-19 มีแนวโน้มกระทบกับแผนการของจีนในการเข้าซื้อสินค้าและบริการของสหรัฐตามข้อตกลงการค้าเฟส 1ซึ่งจะยิ่งเพิ่มความไม่แน่นอนให้กับภาพรวมของการเจรจาการค้ามากขึ้น

อีกทั้งยังมีประเด็นความขัดแย้งเพิ่มเติมไม่ว่าจะเป็นประเด็นฮ่องกงและทะเลจีนใต้ บวกรวมกับปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับจีนและอิหร่าน รวมถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในเดือน พ.ย.ปีนี้ ปัจจัยที่กล่าวมาล้วนแล้วแต่เป็นแรงกระตุ้นให้นักลงทุนหันเข้ามาถือครองทองคำมากขึ้น

แนวโน้มระยะยาว ยังขาขึ้น

ในทางเทคนิค แนวโน้มราคาทองคำ ระยะยาว ยังมีทิศทางขาขึ้น โดยราคาทองคำตั้งแต่ช่วงปี 2017-2020 มีการยกระดับต่ำสุด สูงขึ้น และยกระดับ สูงสุด สูงขึ้น อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ราคาทองคำตั้งแต่ช่วงเดือน มี.ค.-มิ.ย. ปี 2020 ยังมีการยกระดับต่ำสุด สูงขึ้น และยกระดับสูงสุด สูงขึ้น ติดต่อกันหลายเดือน แนวโน้มดังกล่าว สร้างมุมมองเชิงบวกต่อราคาทองคำเช่นกัน แม้ว่าเมื่อราคาทองคำปรับตัวขึ้นจะมีแรงขายทำกำไรสลับออกมาบ้าง แต่ราคายังคงเคลื่อนไหวและรักษารูปแบบการแกว่งตัวในทิศทางขาขึ้นได้

ในช่วงที่เหลือของปี 2020 หลังจากราคาทะลุผ่านแนวต้านชุดแรกที่ระดับ 1,790-1,803 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของราคาช่วงเดือน ต.ค.ปี 2012- เดือน ก.พ.ปี 2011 และเป็นจุดแนวต้านสำคัญที่ราคาทดสอบหลายครั้งแต่ก็ไม่สามารถผ่านไปได้ ทำให้ทิศทางราคาทองคำในระยะยาวสดใสมากขึ้น

โดยประเมินแนวต้านสำคัญชุดที่สองสำหรับปีนี้อยู่ที่ระดับ 1,911-1,920 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของราคาช่วงเดือน ส.ค. – ก.ย.ปี 2011 (1,920 เป็นระดับสูงสุดเป็นประวัตการณ์) สำหรับแนวรับแรกของปีนี้ แนวแรกจะอยู่ในโซน 1,725-1,668 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ระดับต่ำสุดของเดือนพ.ค.และ มิ.ย. ปี2020) และแนวรับถัดไปในโซน 1,566 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ระดับต่ำสุดของเดือนเม.ย. ปี2020)

ทอง…สินทรัพย์ให้ผลตอบแทนเป็นบวก

ทองเป็นหนึ่งสินทรัพย์เพียงไม่กี่ประเภทที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกในปีนี้ นับตั้งต้นปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน (วันที่ 14 ก.ค.2563) ทองคำในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น 283.07 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ +18.65% จากราคาเปิด 1,517.71 สู่ดอลลาร์ต่อออนซ์ สู่ระดับ 1,800.80ดอลลาร์ต่อออนซ์ ด้านราคาทองคำในประเทศก็ร้อนแรงไม่แพ้กัน

โดยปรับตัวสูงขึ้น 5,250 บาทต่อบาททองคำ หรือ +24.24% จากราคาเปิดที่ 21,650 บาทต่อบาททองคำ สู่ระดับ 26,900 บาทต่อบาททองคำ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ หลังจากพุ่งขึ้นทำระดับสูงสุดในครั้งก่อนหน้าที่ 26,850 บาทต่อบาททองคำในวันที่ 10 ก.ย.ปี 2011

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนต้องเกาะติดปัจจัยต่าง ๆ อย่างใกล้ชิดนะคะ อิป้าขอให้ประสบความสำเร็จในการลงทุนนะคะ…วันนี้ไปล่ะค่ะ…บ๊ายยย

Facebook Comments