วิน พรหมแพทย์

นายวิน พรหมแพทย์, CFA ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนพรินซิเพิล จำกัด เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2562 ที่ผ่านมา บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด ได้รับอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ให้เพิ่มเงินทุนจดทะเบียนของกองทุนเปิด ‘พรินซิเพิล เอ็นแฮนซ์ พร็อพเพอร์ตี้ แอนด์ อินฟราสตรัคเจอร์ เฟล็กซ์ อินคัม หรือ Principal Enhanced Property and Infrastructure Flex Income Fund (PRINCIPAL iPROPEN) เป็น 20,000 ล้านบาท หรือ 2,000 ล้านหน่วย จากเดิมที่มีเงินทุนจดทะเบียน 5,000 ล้านบาท หรือ 500 ล้านหน่วย เพื่อขยายขนาดกองทุนรองรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าซื้อหน่วยลงทุนเพิ่มเติม หลังจากได้เปิดตัวและเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา

กลยุทธ์ของกองทุนฯ ดังกล่าว เน้นกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีคุณภาพดีและมีรายได้จากค่าเช่าที่มั่นคงในภูมิภาคเอเชีย – แปซิฟิก โดยเพิ่มความยืดหยุ่นในการลงทุน ให้สามารถเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานได้มากขึ้น และสามารถลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐานอีกด้วย นอกจากนี้ ยังกระจายความเสี่ยงการลงทุนสินทรัพย์ที่หลากหลายในหลายประเทศ และขยายขอบเขตการลงทุนในสินทรัพย์แบบ Freehold (ลงทุนในกรรมสิทธิ์) ตลอดจนบริหารจัดการโดยทีมผู้เชี่ยวชาญการลงทุนใน REITs ของกลุ่ม Principal

นายวิน กล่าวว่า ในขณะเดียวกัน บลจ. พรินซิเพิล เตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนเปิด ‘พรินซิเพิล พร็อพเพอร์ตี้ อินคัม’ หรือ Principal Property Income Fund (PRINCIPAL iPROP) (Class-R, Class-D) ในอัตราประมาณ 0.20 บาทต่อหน่วย สำหรับงวดบัญชี 30 พฤศจิกายน 2562 นับเป็นการจ่ายเงินปันผลครั้งที่ 31 ของกองทุนฯ และเป็นการจ่ายเงินปันผลต่อเนื่องทุกไตรมาสนับตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2555 โดยมีกำหนดปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหน่วยลงทุนในวันที่ 30 ธันวาคม 2562 ซึ่งผู้ที่ถือหน่วยลงทุนถึงสิ้นวันที่ 29 ธันวาคมนี้ จึงมีสิทธิรับเงินปันผล

ทั้งนี้ กองทุน PRINCIPAL iPROP มีนโยบายลงทุนในหลักทรัพย์หรือตราสารหมวดอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ทั้งในและต่างประเทศ โดยใช้กลยุทธ์คัดเลือกสินทรัพย์รายตัวในลักษณะ Bottom-up โดยเฉพาะกลุ่มที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีเครือข่ายผู้จัดการกองทุนของ บลจ. พรินซิเพิล จำกัด เน้นการศึกษาเชิงลึกเพื่อลงทุนในสินทรัพย์ที่มีคุณภาพดี มีสภาพคล่องเพียงพอ และยังคงซื้อขายในราคาที่เหมาะสม

ขณะที่ภาพรวมการลงทุนสินทรัพย์กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ราคาสินทรัพย์กลุ่ม Yield Play Assets หรือสินทรัพย์ที่นักลงทุนเข้าลงทุนโดยคาดหวังผลตอบแทนในรูปแบบเงินปันผล โดยเฉพาะทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่า (REITs) ในไทยและสิงคโปร์ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ปัจจัยมาจากพฤติกรรม Search for Yield หรือการมองหาสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนในรูปแบบเงินปันผลท่ามกลางภาวะดอกเบี้ยต่ำที่เกิดขึ้นทั่วโลก และยังไม่มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นในเร็วๆ นี้ ประกอบกับ REITs ซึ่งสินทรัพย์ที่เข้าลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่มีรายได้จากค่าเช่าที่คาดการณ์ได้ล่วงหน้า จึงได้รับปัจจัยเกื้อหนุนในภาวะที่ตลาดการเงินมีทิศทางที่ไม่ชัดเจนและเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดในรอบปีนี้

สำหรับภาพตลาดการลงทุน REITs ในตลาดสิงคโปร์ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2562 ที่ผ่านมามีการปรับฐานลง มีปัจจัยหลักมาจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ 1.50%-1.75% ต่อปี พร้อมส่งสัญญานคงดอกเบี้ยนโยบายตลอดปี 2563 หลังการประชุมเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2562 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามการปรับฐานของ REITs ในสิงคโปร์ครั้งนี้ นับว่ามีผลกระทบต่ำกว่าเมื่อเทียบกับ REITs ในไทย และมีมุมมองต่อการขายทำกำไรของนักลงทุนใน REITs ไทย และ REITs สิงคโปร์ครั้งนี้ ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมาย เนื่องจากราคาสินทรัพย์ที่ปรับเพิ่มขึ้นค่อนข้างมากตั้งแต่ต้นปี 2562 ย่อมมีโอกาสถูกขายทำกำไร

“ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันมองว่าการเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีคุณภาพเป็นรายตัว จะช่วยลดโอกาสขาดทุนแก่นักลงทุนระยะสั้น และเพิ่มโอกาสทำกำไรในระยะยาว โดยคาดหวังโอกาสรับผลตอบแทนจากค่าเช่าที่ 4 – 6% เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่มีศักยภาพและคุณค่าในการลงทุน ดังนั้นในช่วงที่ราคา REITs ลดลง จึงเป็นโอกาสลงทุนเพิ่มเติมในสินทรัพย์ที่ดีและมีราคาถูก โดยแนะนำให้มีสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกกลุ่มดังกล่าวประมาณ 20-30% ของพอร์ตลงทุน” นายวิน กล่าว

ทั้งนี้ กองทุน PRINCIPAL iPROP-A ในปีนี้สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดี โดยกองทุนฯ ให้อัตราผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือน อยู่ที่ 0.87%, 6 เดือน อยู่ที่ 9.54%, 1 ปี อยู่ที่ 20.54%, 3 ปี อยู่ที่ 11.18%, 5 ปี อยู่ที่ 11.03% และนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน อยู่ที่ 11.63%, ตามลำดับ ดัชนีชี้วัด 3 เดือน อยู่ที่ 0.28%, 6 เดือน อยู่ที่ 9.03%, 1 ปี อยู่ที่ 20.39%, 3 ปี อยู่ที่ 13.07%, 5 ปี อยู่ที่ 11.35% และนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน อยู่ที่ 10.75% (ข้อมูล ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2562)

Facebook Comments