หุ้นรับเหมาก่อสร้าง

หนังสืออิป้าหามาเล่ามาแล้วค่ะ อิป้าหามาเล่า ต้องยอมรับว่าหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างนั้นกำลังพุ่งแรง หลังจากที่เด้งรับเมกะโปรเจคใหญ่จากทางภาครัฐกว่า 4.5 แสนล้าน มีหุ้นตัวไหนบ้างที่เด้งดีดแรงตามไปดูกันคร้าาาา (เรียงจากมาเก็ตแคปสูงไปหาน้อยนะคะ)

1.CK (บมจ.ช.การช่าง) มาเก็ตแคป 30,659.53 ล้านบาท

ราคาสิ้นปี 63 ปิดที่ 16.60 บาท เมื่อเทียบกับราคาล่าสุด 2 เม.ย.64 ปิดที่ 18.10 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท หรือเพิ่มขึ้น +9.03% เหลืออัพไซด์ 17.12% (ราคาเป้าหมาย 21.20 บาท)

โดยอัตราผลตอบแทนด้านราคามีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ปี 62 อยู่ที่ -24.00% ปี 63 อยู่ที่ -12.63% และ YTD อยู่ที่ 9.04%

ทั้งนี้ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส วิเคราะห์ว่า CK ปี 64 เล็งงานในมือ (Backlog) เพิ่มเข้ามาสู่ระดับ 1 แสนล้านบาท จากปีก่อนที่มี Backlog เพียง 2.9 หมื่นล้านบาท ต่ำสุดในรอบ 10 ปี นอกจากนี้ คาดว่าครึ่งหลังปี 64 จะได้เซ็นสัญญางานเขื่อน หลวงพระบางที่อยู่ระหว่างเจรจาสัญญาหลัก และมีโครงการที่คาดจะเปิดประมูลในปีนี้อย่างแน่นอนมูลค่ารวม 3.7 แสนล้านบาท ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีส้ม, รถไฟฟ้าสายสีม่วง, รถไฟทางคู่ 2 เส้นทาง และ อุโมงค์ส่งน้ำของ กปน.-กทม. (ข้อมูล สำนักข่าวอินโฟเควสท์)

2.STEC (บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น) มาเก็ตแคป 24,554.22 ล้านบาท

ราคาสิ้นปี 63 ปิดที่ 12.70 บาท เมื่อเทียบกับราคาล่าสุด 2 เม.ย.64 ปิดที่ 16.10 บาท เพิ่มขึ้น 3.40 บาท หรือเพิ่มขึ้น +26.77% เหลืออัพไซด์ 11.80% (ราคาเป้าหมาย 18.00 บาท)

โดยอัตราผลตอบแทนด้านราคามีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ปี 62 อยู่ที่ -30.39% ปี 63 อยู่ที่ -10.56% และ YTD อยู่ที่ 26.77%

บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ STEC มีงานก่อสร้างในมือ (Backlog) สูงถึง 1.09 แสนล้านบาท สามารถรองรับรายได้ไปอีกราว 3 ปี และถือว่ามีความยืดหยุ่นเป็นอย่างดีหากจะมีบางโครงการที่ล่าช้าออกไปบ้าง ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานฟื้นตัวมีการเติบโต เนื่องจากอัตรากำไรปรับตัวดีขึ้น เพราะงานที่ไม่ให้กำไร คือ อาคารรัฐสภาแห่งใหม่จะจบลงในเดือน มี.ค.-เม.ย.64 แต่จะมีการทำงานที่ให้อัตรากำไรดี เช่น โรงไฟฟ้าปลวกแดงและหินกอง และคาดว่าจะไม่มีการตั้งสำรองค่าใช้จ่ายเพิ่ม โดยเฉพาะโครงการอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ นั่นคือคาดการณ์อัตราการเติบโตกำไรปี 64 และปี 65 เป็น +29% / +12% ตามลำดับ (ข้อมูล ข่าวหุ้น)

3.ITD (บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์) มาเก็ตแคป 10,137.35 ล้านบาท

ราคาสิ้นปี 63 ปิดที่ 1.11 บาท เมื่อเทียบกับราคาล่าสุด 2 เม.ย.64 ปิดที่ 1.92 บาท เพิ่มขึ้น 0.81 บาท หรือเพิ่มขึ้น +72.97%

โดยอัตราผลตอบแทนด้านราคามีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ปี 62 อยู่ที่ -30.37% ปี 63 อยู่ที่ -25.50% และ YTD อยู่ที่ 72.97%

ล่าสุด หุ้น ITD ราคาปรับเพิ่มขึ้น หลังทำหนังสือแจ้ง ต.ล.ท. ลงนามกับการถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เพื่อดำเนินการก่อสร้างโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพ – หนองคาย ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพ – นครราชสีมา งานสัญญาที่ 4-4 งานโยธาสำหรับศูนย์ซ่อมเชียงรากน้อย รวมมูลค่าโครงการ 6,573 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) มีระยะเวลาสัญญา 1,080 วัน (ข้อมูล ประชาชาติธุรกิจ)

4.UNIQ (บมจ.ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น) มาเก็ตแคป 7,080.66 ล้านบาท

ราคาสิ้นปี 63 ปิดที่ 4.62 บาท เมื่อเทียบกับราคาล่าสุด 2 เม.ย.64 ปิดที่ 6.55 บาท เพิ่มขึ้น 1.93 บาท หรือเพิ่มขึ้น +41.77% อัพไซด์ไปแล้ว 18.32% (ราคาเป้าหมาย 5.35 บาท)

โดยอัตราผลตอบแทนด้านราคามีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ปี 62 อยู่ที่ -25.00% ปี 63 อยู่ที่ -35.83% และ YTD อยู่ที่ 41.77%

ล่าสุด บริษัทลงนามในสัญญาจ้างก่อสร้างโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา) งานสัญญา 4-6 งานโยธา สำหรับช่วงพระแก้ว-สระบุรี กับการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) มูลค่างาน 9,428,999,969.37 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) (ข้อมูล สำนักข่าวอินโฟเควสท์)

5.STPI (บมจ.เอสทีพี แอนด์ ไอ) มาเก็ตแคป 6,954.28 ล้านบาท

ราคาสิ้นปี 63 ปิดที่ 3.56 บาท เมื่อเทียบกับราคาล่าสุด 2 เม.ย.64 ปิดที่ 4.28 บาท เพิ่มขึ้น 0.72 บาท หรือเพิ่มขึ้น +20.22%

โดยอัตราผลตอบแทนด้านราคามีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ปี 62 อยู่ที่ 66.26% ปี 63 อยู่ที่ -47.26% และ YTD อยู่ที่ 20.22%

ช่วงปีที่ผ่านมาบริษัทได้นำคลังสินค้า โรงงาน 3 แห่งได้แก่ โครงการคลังสินค้าและโรงงานเอสที บางบ่อ , โครงการคลังสินค้าและโรงงานเอสที บางปะอิน และโครงการศูนย์การค้า ซัมเมอร์ฮิลล์ และโครงการอาคารสำนักงาน ซัมเมอร์ฮับ โดยสัญญาเช่าประมาณ 30 ปี ให้กองทุนทรัสต์ลงทุนสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เคบีเอสที มิกซ์ เช่าช่วง ลงทุนประมาณ 2,324 ล้านบาท (ข้อมูล hoonsmart)

6.SRICHA (บมจ.ศรีราชาคอนสตรัคชั่น) มาเก็ตแคป 4,896.09 ล้านบาท

ราคาสิ้นปี 63 ปิดที่ 12.30 บาท เมื่อเทียบกับราคาล่าสุด 2 เม.ย.64 ปิดที่ 15.80 บาท เพิ่มขึ้น 3.50 บาท หรือเพิ่มขึ้น +28.45% เหลืออัพไซด์ 20.25% (ราคาเป้าหมาย 19.00 บาท)

โดยอัตราผลตอบแทนด้านราคามีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ปี 62 อยู่ที่ -35.65% ปี 63 อยู่ที่ 76.98% และ YTD อยู่ที่ 28.46%

ล่าสุด SRICHA รับงานโครงการเดิมเพิ่มขึ้น ซึ่งได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า บริษัท เอสซีซี เมนเทนแนนซ์ เซอร์วิสเซส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ได้รับงานใน Project T3 เพิ่มขึ้นจากเดิม 1,090 ล้านบาท เป็น มูลค่างาน 1,424 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 94 ล้านบาท เนื่องจากเป็นโครงการที่มีความซับซ้อนและยากต่อการดำเนินงาน นอกจากนี้บริษัทยังได้รับงาน Joint Ventrue of PETROFAC-SAMSUNG-SAIPE เพื่อทำงานในด้าน Structural Steel , Equipment and Piping Erection and Insulation Work ของ บมจ. ไทยออยล์ หรือ TOP มูลค่า 828 ล้านบาท (ข้อมูล สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย)

7.TRITN (บมจ.ไทรทัน โฮลดิ้ง) มาเก็ตแคป 4,335.11 ล้านบาท

ราคาสิ้นปี 63 ปิดที่ 0.36 บาท เมื่อเทียบกับราคาล่าสุด 2 เม.ย.64 ปิดที่ 0.45 บาท เพิ่มขึ้น 0.09 บาท หรือเพิ่มขึ้น +25.00%

โดยอัตราผลตอบแทนด้านราคามีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ปี 62 อยู่ที่ -23.68% ปี 63 อยู่ที่ 24.14% และ YTD อยู่ที่ 25.00%

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ประกาศให้ บริษัท ไทรทัน โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TRITN และ TRITN-W3 ขึ้น Cash Balance (สมาชิกต้องดำเนินการให้ลูกค้าซื้อหลักทรัพย์ด้วยบัญชี cash balance เท่านั้น โดยลูกค้าต้องวางเงินสดไว้ล่วงหน้ากับสมาชิกเต็มจำนวนก่อนซื้อหลักทรัพย์) ตั้งแต่ 2 เม.ย. – 22 เม.ย.64 เนื่องจากเป็นหลักทรัพย์ที่มีระดับราคาและปริมาณการซื้อขายเปลี่ยนแปลงไปมากจากช่วงก่อนหน้า และอยู่ระหว่างบริษัทชี้แจงข้อมูล (Trading Alert List) (ข้อมูล efinancethai)

8.TTCL (บมจ.ทีทีซีแอล) มาเก็ตแคป 3,973.20 ล้านบาท

ราคาสิ้นปี 63 ปิดที่ 4.84 บาท เมื่อเทียบกับราคาล่าสุด 2 เม.ย.64 ปิดที่ 6.45 บาท เพิ่มขึ้น 1.61 บาท หรือเพิ่มขึ้น +33.26% เหลืออัพไซด์ 7.75% (ราคาเป้าหมาย 6.95 บาท)

โดยอัตราผลตอบแทนด้านราคามีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ปี 62 อยู่ที่ -20.74% ปี 63 อยู่ที่ -9.53% และ YTD อยู่ที่ 33.26%

ล่าสุด บริษัทได้ปรับกลยุทธ์ธุรกิจจะขยายธุรกิจไปธุรกิจพลังงาน จากเดิมที่มีธุรกิจหลักจากงานรับเหมาก่อสร้าง (EPC) เพื่อลดความเสี่ยงจากธุรกิจ EPC ที่มีรายได้ไม่สม่ำเสมอ โดยตั้งเป้าในปี 68 จะมีรายได้จากธุรกิจพลังงาน 50% ซึ่งมาจากธุรกิจโรงไฟฟ้าที่บริษัทเข้าไปลงทุน 30% และอีก 15% มาจากธุรกิจ Black Pellet ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพอัดเม็ดกึ่งไม้กึ่งถ่านที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า ส่วนอีก 50% เป็นธุรกิจ EPC ที่สัดส่วน 25% มาจากงานรับเหมาก่อสร้างจากรายอื่น และอีก 25% มาจากโครงการที่บริษัทลงทุนเอง เช่น โรงไฟฟ้า โรงงานผลิต Black Pellet (ข้อมูล ข่าวหุ้น)

9.SEAFCO (บมจ.ซีฟโก้) มาเก็ตแคป 3,772.51 ล้านบาท

ราคาสิ้นปี 63 ปิดที่ 4.44 บาท เมื่อเทียบกับราคาล่าสุด 2 เม.ย.64 ปิดที่ 5.10 บาท เพิ่มขึ้น 0.66 บาท หรือเพิ่มขึ้น +14.86% เหลืออัพไซด์ 0.98% (ราคาเป้าหมาย 5.15 บาท)

โดยอัตราผลตอบแทนด้านราคามีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ปี 62 อยู่ที่ -28.65% ปี 63 อยู่ที่ -26.00% และ YTD อยู่ที่ 14.86%

ทั้งนี้บริษัทคาดว่า รายได้ปีนี้จะไม่เติบโตจากปีก่อนที่ทำได้ 2,585.33 ล้านบาท เนื่องจากงานประมูลทั้งจากภาครัฐและเอกชนที่ยังมีความล่าช้า ดังนั้นสิ่งที่ต้องจับตาคือไตรมาส 3-4 หากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย การลงทุนหรืองานภาครัฐจะออกมาหรือไม่ ซึ่งหากออกมาก็จะช่วยหนุนให้เอกชนลงทุนตามด้วย (ข้อมูล efinancethai)

10.PYLON (บมจ.ไพลอน) มาเก็ตแคป 3,434.42 ล้านบาท

ราคาสิ้นปี 63 ปิดที่ 3.94 บาท เมื่อเทียบกับราคาล่าสุด 2 เม.ย.64 ปิดที่ 4.58 บาท เพิ่มขึ้น 0.64 บาท หรือเพิ่มขึ้น +16.24% เหลืออัพไซด์ 9.17% (ราคาเป้าหมาย 5.00 บาท)

โดยอัตราผลตอบแทนด้านราคามีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ปี 62 อยู่ที่ -33.05% ปี 63 อยู่ที่ -16.53% และ YTD อยู่ที่ 16.24%

บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ปัจจุบัน PYLON มี backlog ในมือ 500 ล้านบาท (เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2564) ซึ่งเพียงพอที่จะรับรู้เป็นรายได้ในครึ่งแรกปี 2564 และคาดว่ามาจากโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐเริ่มมีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทมีโอกาสได้รับงานใหม่เพิ่มขึ้น (ข้อมูล ข่าวหุ้น)

อย่างไรก็ดี เราจะเห็นว่าทั้ง 10 ตัวราคาปรับขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่คงยังต้องรอการเปิดประมูลอีกหลายโครงการจากทางภาครัฐฯ ว่า ใครจะได้งานไปกันบ้างนะคะ…วันนี้ไปล่ะค่ะ…บ๊ายยย

Facebook Comments