ออมเงืน

มาแล้วค่ะ อิป้าหามาเล่า วันนี้จะมาเหลาเรื่องคนรุ่นใหม่กันหน่อยนะคะ ได้ข้อมูลจาก “แมนพาวเวอร์ กรุ๊ป” ออกบทความในเรื่องของพฤติกรรมคนรุ่นใหม่ ขาดแบบแผนออมเงินและการลงทุน ดั๊นเห็นว่าน่าสนใจจึงนำสรุปย่อๆ จัดเรียงข้อมูลใส่พานให้ท่านผู้อ่านได้เสพเนื้อหากันนะคะ อิอิ

1.จากการศึกษาวิจัยในส่วนของพฤติกรรมการใช้เงินของกลุ่มคนรุ่นใหม่ยุค 4.0 พบว่า 30% มีการใช้จ่ายประมาณ 10,001–15,000 บาท , 25% ต่ำกว่า 10,000 บาท และรายจ่ายประมาณ 15,001–20,000 บาท อยู่ที่ 18 %

2.เมื่อเจาะลงไปในส่วนของการใช้จ่ายให้กับตนเองของคนรุ่นใหม่ยุค 4.0 พบว่า มีการใช้จ่ายเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย มากที่สุด 51% รองลงมาใช้ในการท่องเที่ยว 47% และใช้ด้านความบันเทิง (Entertainment) 39% ส่วนความสวยความงาม (Beauty) อยู่ที่ 38% สุดท้ายใช้จ่ายเกี่ยวกับแฟชั่น 36% ตามลำดับ

3. คนรุ่นใหม่ยุค 4.0 ยังมีการจัดทำแผนการออมเงินและการลงทุนด้วยตนเองมากกว่าผ่านที่ปรึกษาด้านการวางแผนการเงิน…กล่าวคือ วางแผนด้วยตนเองมากที่สุด 76% วางแผนผ่านบริการที่ปรึกษาด้านวางแผนทางการเงินขององค์กรต่างๆ เช่น ธนาคาร หรือบริษัทประกันภัย 19% และไม่มีการวางแผนอยู่ที่ 15%

4.เงินออมต่อรายได้โดยเฉลี่ยในแต่ละเดือน พบว่า ส่วนใหญ่ไม่ได้กำหนดแน่นอน มีการออมตามเงินที่เหลือจากการใช้จ่ายมากที่สุดถึง 37 % รองลงมาออมเงินประมาณ 10–20% ของรายได้อยู่ที่ 27% และออมเงินต่ำกว่า 10% ของรายได้อยู่ที่ 17%

5.จำแนกตามรายได้ส่วนตัวต่อเดือนกับสัดส่วนเงินออมต่อรายได้โดยเฉลี่ยในแต่ละเดือนรายได้ 40,001 บาทขึ้นไป จะมีสัดส่วนเงินออมมากกว่า 30% ของรายได้ และผู้ที่มีรายได้ 30,001–40,000 บาท จะออม 21–30 %ของรายได้ ส่วนกลุ่มผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 10,000 บาท และ 20,001–30,000 บาท จะมีสัดส่วนเงินออมต่ำกว่า 10% ของรายได้

ในขณะที่ผู้มีรายได้ 10,001–20,000 บาท นั้นไม่ได้กำหนดแน่นอนจะออมตามเงินที่เหลือจากการใช้จ่าย ซึ่งจากผลการวิจัยส่วนนี้ยังสะท้อนให้เห็นว่า คนรุ่นใหม่ยังขาดแบบแผนและวินัยการออมเงินอย่างเป็นระบบ

6.รูปแบบการออม ส่วนใหญ่ออมผ่านเงินฝากประจำมากที่สุด 50% รองลงมาการทำประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ 34% และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 26%

7.การออมและลงทุนรูปแบบอื่นๆ ทองคำ 24% และหุ้นสหกรณ์ 20% หุ้น/หลักทรัพย์ 15%, ที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง 14% ,กองทนรวมหุ้นระยะยาวLTF 13%, พันธบัตรรัฐบาล/ตั๋วเงินคลัง 10%, กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ RMF 7%, กองทุนบำเหน็จบำนาญราชการการ 6%, อื่นๆ 5% และกองทุนเงินออมแห่งชาติ 2%

8.ผลการศึกษาวิจัยยังมีข้อเสนอแนะให้กับภาครัฐในการเร่งส่งเสริมการวางแผนจัดสรรเงินออมและการลงทุนอย่างเป็นระบบตั้งแต่ระดับเริ่มต้นทำงาน โดยออกมาตรการที่เป็นลักษณะเชิงบังคับให้มีการออมผ่านกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) โดยการหักเงินออมจากเงินเดือนเฉกเช่นเดียวกับการจ่ายเงินประกันสังคม

9.ตามหลักการต้องมีการกำหนดสัดส่วนการออมอย่างน้อยที่ 10-15% แต่จะเป็นการดีกว่าหากมีสัดส่วนการออมอยู่ที่ 20% ขึ้นไปต่อเดือน ทั้งนี้ควรจะต้องศึกษาเรียนรู้การวางแผนการออมเงินอย่างมีแบบแผน เพื่อให้คนรุ่นใหม่มีเงินออม

10.โดยอาจเริ่มต้นจากวิธีทำบัญชี “รายรับ-รายจ่าย” เพื่อสร้างเงินออม เพื่อให้เห็นภาพรวมของการใช้จ่าย ลดค่าใช้จ่ายในส่วนที่ไม่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตมากนัก และนำเงินส่วนนั้นมาเก็บออมเงินแทน โดยการตั้งเป้าหมายของการออมเงินไว้ เพื่อใช้สำหรับอะไร เช่น เพื่อการศึกษาต่อ, เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย หรือเพื่อใช้ในยามเกษียณ และเตรียมพร้อมอย่างมีแบบแผนรับสังคมสูงอายุ

11.คนทำงานรุ่นใหม่ต้องสร้างวินัยการออมให้เกิดขึ้นกับตนเองเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ และต้องระลึกไว้เสมอว่าต้องสร้างรายได้ให้มากกว่ารายจ่าย โดยรูปแบบการออมและการลงทุนนั้นมีมากมายหลายรูปแบบสามารถเลือกได้ตามความต้องการและพฤติกรรมของแต่ละบุคคล

สุดท้ายขอขอบคุณ ข้อมูลดีๆ และภาพจากแมนพาวเวอร์ กรุ๊ป ประเทศไทยนะคะ …และถ้าใครยังไม่เริ่มออม ….จัดเลยนะคะ ออมวันนี้ วันหน้าสบายแน่นอนคะ…วันนี้ไปละคะ บ๊ายย

Facebook Comments