กัณฑรัตน์ เจิมจิตรผ่อง

มาแล้วค่ะ อิป้าหามาเล่า หากย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ถ้าให้พูดถึงวงการพีอาร์ที่ทั้งสวย และเก่ง เป็นมืออาชีพที่มีความเป็นทีมเวิร์ค หนึ่งในนั้นต้องยกให้ KTC ที่นำทัพโดย “ต้อย – กัณฑรัตน์ เจิมจิตรผ่อง” อดีตรองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายสื่อสารองค์กรและธุรกิจสัมพันธ์ ซึ่งเธอทั้งสวยและเก่งรอบด้าน แม้กระทั่งการลงทุนก็ไม่เว้น

“ต้อย”เล่าว่า เริ่มสนใจเรื่องการลงทุนในหุ้น ตั้งแต่เพิ่งเรียนจบจากคณะอักษรศาตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเมื่อประมาณปี 2531 แต่เหตุผลที่สนใจการลงทุนในหุ้นอย่างจริงจัง มาจากการที่ช่วงปี 1980 หุ้นและการลงทุนกำลังเฟื่องฟูทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศ มนุษย์ทองคำทำเงินได้มากมายกัณฑรัตน์ เจิมจิตรผ่อง

ในสมัยเด็ก ชอบอ่านหนังสือแนวนี้ อย่างเช่น The Bonfire of the Vanities, Liar’s Poker, Barbarians at the Gate หรือถ้าจะดูหนังก็ต้อง Wall Street ที่ไมเคิล ดักลาสเป็นพระเอก ชอบศึกษาการชิงไหวชิงพริบกันในตลาดเงินและตลาดทุน รู้สึกสนุกสนานเร้าใจดีและถูกจริต ต่อมาเรียนต่อทางด้านการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในแถบเอเชียตะวันออก ที่ School of  International and Public Affairs ที่ Columbia University

ตั้งแต่เด็กๆ เรามุ่งมั่นตั้งใจไว้ว่าจะทำงานประจำจนถึงอายุ 50 แล้วจะลาออกมา.. …‘ใช้ชีวิต’ ในแบบที่เราอยากเป็น เหตุผลสำคัญก็คือ เราไม่รู้ว่า ‘เวลา’ ของแต่ละคนมีมากน้อยแค่ไหน เราอยากให้เวลากับ ‘ตัวเอง’ และอยากมีเวลาตอบแทนและดูแล ‘แม่’ เหมือนอย่างที่แม่เคยสละเวลาส่วนตัวของแม่มาดูแลเราตอนเด็ก เราไม่อยากใช้คำว่า ‘รู้งี้’ กับผู้มีพระคุณที่สุดของเรา

กัณฑรัตน์ เจิมจิตรผ่อง

ในส่วนของการลงทุนในหุ้น ช่วงที่ทำงานประจำและยังอายุไม่มากเท่านี้ เราก็ยังคงลงทุนในหุ้น ธรรมชาติของเราเป็นคนคิดเร็ว ทำเร็ว ใจร้อน จึงมักถือหุ้นแบบสั้นๆ คือแค่ 7 วันก็เหมือนใจจะขาด แถมยังชอบเล่นหุ้นปั่น เนื่องจากเราทำงานเป็นพนักงานประจำ พี่น้องเพื่อนฝูงในวงการก็จะเมตตาคอยมาบอกหุ้นตัวที่น่าสนใจ บางวันใจกล้าบ้าบิ่นเล่นแบบ Day Trade ซึ่งไม่เหมาะเลยกับคนที่ทำงานประจำ

เราจึงเปลี่ยนวิธีการลงทุนมาดูหุ้นที่พื้นฐานดี มีปันผล ไม่อย่างนั้นเราคงเลือดข้นตลอดเวลา อาจจะต้องเกษียณออกไปรักษาตัวมากกว่า ถ้ายังทำวิธีการเดิม และให้เวลากับการศึกษาผลประกอบการ และปัจจัยแวดล้อมที่สำคัญทั้งเศรษฐกิจและการเมือง รวมทั้งเทรนด์ต่างๆ ของโลกให้มากขึ้น

กัณฑรัตน์ เจิมจิตรผ่อง

ช่วงนี้ไม่ได้ทำงานประจำแล้ว ทุกเช้าก่อนตลาดเปิดก็จะต้องฟังการวิเคราะห์ของบล.ต่างๆ และจดประเด็นที่สำคัญเอาไว้ ทุกครั้งที่มีเวลาว่างก็จะเข้าไปอ่านบทวิเคราะห์ และคัดเลือกหุ้นที่เราสนใจ และโฟกัสเพียงบางตัวเท่านั้น โดยมีราคาเป้าหมายที่เราตั้งไว้ในใจ และพยายามไม่ใช้อารมณ์ ความโลภ หรือความกลัวเข้ามาเป็นตัวตัดสินใจ และใช้หลักง่ายๆ ไม่ซับซ้อน คือ ‘ลงซื้อ ขึ้นขาย’ สำหรับหุ้นที่เราศึกษามาดีแล้ว

เท่าที่สังเกตดูการที่หุ้นจะราคาขึ้นหรือลง ก็มักจะมีเหตุผลของมันเสมอ เราต้องเปิดหู เปิดตา เปิดใจรับรู้รับฟัง แล้วโยงทุกอย่างเข้ามาประกอบการตัดสินใจ และต้องดูสถานการณ์ทั้งในประเทศและต่างประเทศประกอบกัน เราตั้งใจเอาไว้แล้วว่า เราจะลงทุนในหุ้นแบบตั้งใจจริงจังและทำเป็นอาชีพ เพราะเราคิดว่ามันเป็นงานที่เหมาะกับคนวัยเกษียณอย่างเรา เพราะเราสามารถซื้อขายจากที่ไหนก็ได้ในโลก เป็นงานที่ต้องต่อสู้กับวินัยของตัวเอง ไม่ต้องกังวลกับเรื่องคนอื่น และน่าจะดีกับสมองช่วยป้องกันอัลไซเมอร์ได้

กัณฑรัตน์ เจิมจิตรผ่อง

หุ้นที่เราชอบคือเราเลือกจากปัจจัยข้างต้นที่บอกไป ต้องเป็นหุ้นพื้นฐานดี ผลประกอบการดี ให้ผลตอบแทนดี อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มการเจริญเติบโตดี และที่สำคัญที่สุดคือมีผู้บริหารที่มีความสามารถและมีธรรมาภิบาล หุ้นที่ชอบก็อย่างเช่น KTC, TISCO,HMPRO, WHA, EA และเงินที่ใช้ในการลงทุนในหุ้น จะต้องเป็นเงินเย็นจริงๆ และจะซื้อจะขายก็ต้องใช้ ‘สติ’ กำกับ และลงทุนอย่าง ‘สงบเสงี่ยมเจียมตัว’ ไม่ต้องตื่นเต้น

นอกจากการลงทุนในหุ้นแล้ว เราก็ยังลงทุนในกองทุนประเภทต่างๆ ทั้งกองในประเทศและกองต่างประเทศ รวมทั้งกระจาย sector เพื่อกระจายความเสี่ยงเช่น Technology, Health Care, Infrastructure, Banking and Finance, Gold โดยช่วงหลังๆ มานี้เริ่มจะชอบกองที่มีปันผลมากกว่า เพราะช่วงติดดอยก็จะมีปันผลมาช่วยซับน้ำตาทำให้รู้สึกดีขึ้นบ้างเล็กน้อย และการซื้อกองทุนก็เหมือนการซื้อหุ้น จังหวะการเข้าซื้อและจังหวะขายมีความสำคัญมาก ต้องศึกษาให้ดีก่อน อย่าผลีผลาม

กัณฑรัตน์ เจิมจิตรผ่อง

โดยเฉพาะกองต่างประเทศ เนื่องจากต้องดูรายละเอียดว่าทาง Master fund นำเงินของเราไปลงทุนตรงไหนบ้าง รวมทั้งเวลาในการซื้อขาย NAV ที่เห็นก็จะไม่ Real Time เหมือนเวลาเราซื้อขายหุ้นในประเทศ และการคำณวนค่าธรรมเนียมทั้งขาเข้าและขาออกว่าคุ้มหรือไม่ก็มีความสำคัญต่อผลกำไรและขาดทุน

การลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทที่มีความมั่นคงก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ให้ความสำคัญ โดยพิจารณาจากผลประกอบการของบริษัท เรทติ้ง ระยะเวลา และผลตอบแทนในลักษณะดอกเบี้ย ซึ่งจะเลือกบริษัทในหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรมเพื่อกระจายความเสี่ยงของการลงทุน พื้นฐานดี ผลประกอบการดีต่อเนื่อง ส่วนเรทติ้งนั้น ต้องเป็นระดับ Investment Grade แต่ก็จะชอบที่เรทติ้งดีหน่อย แต่ไม่ถึงกับต้องดีมาก เพราะถ้าดีมากๆ ดอกเบี้ยก็จะค่อนข้างน้อย ชอบดอกเบี้ยอยู่ที่ 4-6 % ต่อปีคละๆกันไป

เงินอีกส่วนหนึ่งก็จะนำไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมเพื่อปล่อยเช่า โดยจะเลือกซื้อในย่านที่มีรถไฟฟ้าวิ่งผ่าน โดยเราพยายามเก็บเงินก้อนให้ได้ก่อนเพื่อใช้เป็นเงินดาวน์ แล้วหลังจากนั้นก็นำค่าเช่าที่ได้รับมาผ่อนต่ออีกที ตรงจุดนี้ได้รับความรู้มาจากแม่ เพราะแม่ชอบเรื่องอสังหาริมทรัพย์ ทุกวันนี้เงินที่แม่ได้จากลูกๆ แทนที่จะนำไปใช้จ่ายเป็นความสุขส่วนตัว แม่ยังคงเก็บหอมรอมริบนำไป (แอบ) ซื้อคอนโดให้คนเช่าเสมอๆ

กัณฑรัตน์ เจิมจิตรผ่อง

อีกเรื่องที่เรานำเงินไปลงทุนคือการซื้อประกันชีวิตและประกันสุขภาพ ซึ่งเดี๋ยวนี้มีแผนประกันหลากหลายต้องลองศึกษาดูให้ดี ช่วงนี้อีกอย่างที่เราพยายามทำให้ได้คือ การศึกษาสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่เราพึงมีพึงได้จากบัตรเครดิต ค่ายโทรศัพท์มือถือ และอื่นๆ ซึ่งก็จะมีให้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เครื่องดื่ม การออกกำลังกาย การตรวจสุขภาพ สปา ส่วนลด ของแถม และอื่นๆ แค่เราเก็บให้หมดก็ประหยัดเงินในกระเป๋าเรามากแล้ว

สุดท้าย “ต้อย” บอกว่า ชีวิตในวัยที่ขอเกษียณก่อนเวลานั้นมีความสุขความสงบ ความเครียดน้อยลงมากหรือแทบไม่มีเลย แต่เราก็ต้องรู้จักบริหารจัดการตัวเอง ต้องหาช่องทางทำให้ทรัพย์สินของเรางอกเงย ดูแลสุขภาพให้ดี ทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อครอบครัว ต่อคนที่เรารัก และต่อสังคม หมั่นนั่งสมาธิปฏิบัติธรรมเพื่อเป็นอริยทรัพย์ติดตัว ดีใจที่ได้ทำตามที่ฝันไว้ แต่กว่าจะทำเช่นนี้ได้ ก็ผ่านการทำงานหนัก ด้วยหยาดเหงื่อและน้ำตามาพอสมควรนะคะ และถ้าเราทำได้ ทุกท่านก็ทำได้เช่นกันค่ะ

หญิงเก่งอีกหนึ่งคนที่ดั๊นต้องนำไปเป็นแบบอย่างของการใช้ชีวิต การทำงาน และการลงทุน บ้างซะแล้ว…วันนี้ไปละค่ะ…บ๊ายยย

Facebook Comments